คนเลี้ยงแกะ พบพระกุมาร

ศบ.

 

ไม่มีใครเห็นสิงโตเดินป้วนเปี้ยนตอนกลางวัน เพราะมันคงนอนหลับอยู่ในถ้ำ แต่กลางคืนมันอาจออกมาล่าเหยื่อ มองหาลูกแกะที่มันอาจกัดกินได้  กลางคืน  เขามักได้ยินหมาป่าเห่าหอน ผู้ร้ายก็เช่นเดียวกัน  ชอบออกมาขโมยของตอนมืดค่ำ ตอนที่ทุกคนนอนหลับกันหมด  คนเลี้ยงแกะยังคงต้องตื่นอยู่  เฝ้าดูแกะของตน ไม่ให้สัตว์ร้าย  หรือใครมาทำอันตรายฝูงแกะของเขา นี่คือสิ่งที่คนเลี้ยงแกะในปาเลสไตน์   ทำกันมาเป็นปกติ  

 

           คืนวันหนึ่ง ในหน้าหนาว อากาศหนาวเย็นเชียว พวกเขากำลังเฝ้าฝูงแกะของตน ซึ่งอยู่กลางทุ่ง ไม่ไกลจากหมู่บ้านเบ็ธเลเฮ็ม เมืองเล็ก ๆ ทางใต้ของกรุงเยรูซาเล็ม  มันเป็นคืนที่เงียบเหงา  หนาวเหน็บ  

 

           คนเลี้ยงแกะกำลังนั่งกันอยู่บนโขดหิน  ถ้ามีเสียงอะไรดังกรอกแกรก  เขาก็จะผะหงกหัวขึ้นมา สอดส่ายสายตาเพ่งดู  เข้าไปในความมืด ถ้าไม่มีอะไร เป็นแต่เพียงกิ่งไม้ต้องลมเสียดสีกัน  สักครู่ พวกเขาก็จะล้มตัวลงนอน การพักผ่อนเอาแรงตอนกลางคืน มีประโยชน์กับที่พวก

 

                                             

 

เขาจะต้องทำงานตอนกลางวัน พาฝูงแกะเหล่านี้ไปกินหญ้า ไปยังธารน้ำ ให้แกะได้ดื่มกิน  

 

           โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือการส่งสัญญาณอะไรให้ทราบล่วงหน้า ก็มีแสงสว่างจ้าขึ้นบนท้องฟ้า มันเจิดจ้ามาก ราวกับแสงพระอาทิตย์ตอนกลางวัน ก่อนหน้านี้  ทุกอย่างตรงนี้มันมืดไปหมด แต่ตอนนี้  พวกเขาแลเห็นโขดหินทุกก้อนชัดเจน  เห็นต้นไม้เตี้ย ๆแถบนั้นทั้งหมด ทุกคนผลุนผลัน ลุกขึ้นมาหมด  พร้อมกันราวกับนัดกันไว้  พวกเขาขี้ขลาดแม้แต่จะเผยอปากพูด  คนในอุทานออกมา

 

           “นี่มันอะไรกัน”

           “เป็นไปได้ไง”

           “พระสิริของพระเจ้าน่ะซี”  หนึ่งในพวกเลี้ยงแกะออกความเห็น 

            “พระองค์คงจะเมตตาพวกเราแล้ว”  

 

            ตลอดมา พวกเขามักปรารภว่า คนยากคนจนอย่างพวกเรา ที่เป็นคนบ้านนอกคอกนานั้น ไม่มีใครในสังคมเขาใส่ใจหรอก   อดยากปากแห้งยังไง  ก็ไม่มีใครเหลียวแล  คงจะมีแต่พระเจ้าเท่านั้น  พ่อหมู่ ที่อาวุโสที่สุดในหมู่คนเลี้ยงแกะ พูดให้พวกเขาฟังเสมอมาว่า วันหนึ่ง พระเจ้าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาช่วยพวกเรา  แต่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่มีใครทราบ  

 

          ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังชัดเจน ใสสะอาด ราวกับใครมาติดลำโพงสเตอรีโอ ไว้บนฟ้า ไม่มีเสียงซ่า หรือเสียงจี่ปลอมปนอยู่ไม้แต่น้อย  

 

             “อย่ากลัวเลย”  ก้องกังวาน 

 

             คนเลี้ยงแกะที่ครั้งแรก นั่งกันกระจัดกระจาย ตามโขดหิน สบาย ๆ ตามใจชอบ ค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามารวมกัน เป็นกลุ่มเดียว ราวกับตั้งใจจะแอ็คชั่น ให้ตากล้องยุคหลังถ่ายภาพพวกเขา เอามาทำเป็นการ์ดอวยพรคริสตมาส   

 

            “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่า ในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของท่าน

 

ทั้งหลาย  คือพระคริสต์เจ้ามาบังเกิด ที่เมืองดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้น พันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า”

 

                                       

 

    ส่วนมาก เวลาเราฟังข่าวเรื่องอะไร  เรามักฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ทูตสวรรค์ที่ส่งข่าวคราว ครั้งนี้ คนเลี้ยงแกะฟังเข้าใจทุกถ้อย  กระบวนความ โดยไม่ต้องการล่ามแปล  หรือต้องควานหาปราชญ์มาตีความ  

 

           “นี่ไง  ที่พ่อหมู่พูดถึงอยู่เป็นประจำ ว่าพระคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด จะเสด็จมา พระองค์มาแล้ว   ทรงบังเกิดที่เมืองเบ็ธเลเฮ็ม  ใกล้ ๆ ที่ที่เรากำลังเฝ้าแกะอยู่” 

 

            ทูตสวรรค์ผู้บอกข่าว ค่อย ๆ ออกไป ในขณะที่ ชาวสวรรค์หมู่ใหญ่นับร้อยมาร้องเพลงประสานเสียง ราวกับวงดนตรีออเชสตร้า ตื่นตาตื่นใจแท้ เนื้อความของเพลงบทนั้นจำได้ง่าย เพราะเป็นเนื้อร้องที่ซ้ำ ๆ กัน ความว่า 

 

           “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด  ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง  ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น”  

 

           เสียงเพลงมันตรึงพวกเขาแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนไหวติงกาย หรือปริปากเอ่ยอะไรออกมาให้เสียสมาธิ แต่มันช่างไพเราะจับใจเหลือเกิน  สิ้นเสียงเพลง  เหล่าทูตก็ค่อย ๆ จากไปสู่ฟ้า ราวกับตัวละครเดินเข้าฉาก แล้วแสงสว่างนั้นก็ค่อย ๆ มลายไป ความมืด เข้ามาปกคลุมท้องทุ่งดังเดิม  

 

           แต่ละคนต่างหันเข้าหากัน  เล่าความรู้สึกของตนอย่างตื่นเต้น  

 

                                   

 

“ยอดเยี่ยมแท้  พระเจ้าเสด็จมาโปรดพวกเราแล้ว”

 

          “เรื่องนี้ยิ่งใหญ่” พ่อหมู่ คนเลี้ยงแกะที่เป็นหัวหน้าลั่นปากออกมา น้ำตาซึมด้วยความดีใจ “เราต้องรีบไปยังเบ็ธเลเฮ็ม  ตามที่ทูตสวรรค์แจ้งพวกเรา” 

 

          บางครั้งพระเจ้าตรัสกับคนเรา เรารู้ เข้าใจ  ชัดแจ้งแดงแจ๋  ตรัสบอกเราให้เราทำตามในพระคริสตธรรมคัมภีร์  เรื่องต่อเรื่อง แต่เรากลับเฉยเมย  ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน  บางคนคิดว่าจะทำตาม  แต่ยังรอเวลา  จะทำเมื่อใดก็ได้  แต่วันนี้ยังไม่ขยับ ต่างจากคนเลี้ยงแกะเหล่านี้ เมื่อทราบข่าวพวกเขามิได้เอ้อระเหย ลอยชาย  อ้อยอิ่งผัดวันประกันพรุ่ง  พวกเขาพากันไปเข้าเฝ้าพระกุมารตามคำบอกเล่าของทูตสวรรค์ทันที “เขาก็รีบไป”  คงละฝูงแกะไว้ที่ทุ่งนา ใครดูแลคงไม่จำเป็นเสียแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  เรื่องสำคัญ  ต้องรีบทำก่อน เรื่องพบพระเยซูเป็นเรื่องใหญ่ ช้าก็พลาด

 

          ช้าไปอีกวัน สองวัน เขาก็คงไม่ได้เห็นพระกุมารในรางหญ้า  ตามคำของทูตสวรรค์เสียแล้ว  วันนี้เราสื่อข่าวสารกัน  ทั้งทางไลน์  เฟสบุ๊ค ยูทูป  ถ่ายทอดคำเทศน์  คำสอน ข่าวสาร  ข่าวสารเหล่านี้  ต้อง  “แม่นยำ และรวดเร็ว” ไม่มีใครอยากฟังข่าวลือ  ข่าวมั่ว   หรือ ข่าวของสัปดาห์ที่แล้ว  หรือ เดือนที่แล้ว  เขาจึงเรียกว่า “ข่าวสด” ยังไงล่ะ ไม่ใช่ “ข่าวแห้ง”

 

                                       

 

  ขณะอยู่ในคอกวัว  พวกเขาเห็นวัว ม้า  เห็นมารีย์นั่งใกล้ รางหญ้าที่วางพระกุมารในผ้าอ้อม  โยเซฟยืนอมยิ้ม  ส่วนพระกุมารนั้น  นอนอยู่ในรางหญ้า  สงบเชียว  มองดูพระกุมาร ก็เหมือนทารกอื่น ๆ ที่เคยเห็น มิได้มีแสงเปล่งปลั่งอะไรออกมา 

 

          “พระองค์บังเกิดมาสู่โลก เป็นคนอย่างเรา” พ่อหมู่เอื้อยเอ่ยออกมา  

 

          “เป็นพระผู้ช่วยพวกเราให้รอด”คนเลี้ยงแกะคนหนึ่ง ทวนคำบอกเล่าของทูตสวรรค์

 

         คนเลี้ยงแกะเหล่านี้  หนุนใจโยเซฟและมาเรีย  อย่างมาก  ทั้งสองรู้ดีว่า พระเยซูประสูติโดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์    และการพากันมาเข้าเฝ้าของคนเลี้ยงแกะ ที่เล่าเรื่องทูตสวรรค์กลางทุ่งนั้น   หนุนใจทั้งสองอย่างยิ่ง  การเชื่อฟังของเรามักหนุนใจครู  ผู้สอน  คนใกล้ชิด  หรือผู้ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ “ฝ่ายนางมารีย์ ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจ  และรำพึงอยู่”  

 

          คนเลี้ยงแกะเหล่านั้นตื่นเต้น  กับการพบพระกุมาร   พวกเขาไม่ได้เก็บความตื่นเหล่านั้นไว้   แต่ออกไปเล่าเรื่องที่พบเห็นให้คนทั้งปวงที่เขารู้จักทราบ  กันทั่วบ้านทั่วเมือง   คนเลี้ยงแกะเป็นคนกลุ่มแรกที่พบพระเยซู  เขาเล่าด้วยความตื่นเต้น เล่าไปด้วยยกย่องสรรเสริญพระเจ้าไปด้วย   เมื่อเราพบพระเยซู   เราตื่นเต้น และบอกเรื่องราวของพระองค์แก่คนอื่นหรือเปล่า  เราตื่นเต้นหรือเปล่า  หรือเราเฉย ๆ  อาการที่แสดงออกของเราบางที  อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า   เราได้พบพระองค์หรือเปล่า   เพราะคนที่พบพระเยซูย่อมอยากเล่าเรื่องพระองค์ให้คนอื่นฟัง   ไม่ใช่เล่าอย่างหน้านิ้วคิ้วขมวด   แต่เล่าด้วยความปิติยินดี   อย่างคนเลี้ยงแกะครับ

 

       ขอพระเจ้าอวยพระพรในเทศกาลคริสตมาสครับ                           

  

 

 



Visitor 1297

 อ่านบทความย้อนหลัง