ถวายโมทนา
ศิษยาภิบาล
ถวายการโมทนาพระคุณ
“บุคคลที่นำการโมทนาพระคุณมา เป็นเครื่องสักการบูชา ก็ให้เกียรติแก่เรา เราจะสำแดงความรอดของพระเจ้า แก่ผู้จัดทางของเขาอย่างถูกต้อง” (สดุดี 50:23)
เราจะถวายโมทนาพระคุณ อย่างไร
เดือนนี้เป็นเดือนของการขอบพระคุณ นอกจากเราจัดวันแม่แล้ว เราจะคิดถึงพระคุณพระเจ้าด้วย
1. ถ้าเราจะพูดถึงคุณความดีของใคร เราจะต้องเชื่อถือว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี ถ้าเราจะสรรเสริญพระเจ้า เราต้องเชื่อถือว่าพระองค์ประเสริฐ ไม่เชื่อถือก็สรรเสริญไม่ได้ ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงเห็นว่าเราเทิดทูนอย่างจริงใจ เมื่อเราเองประพฤติดีตามอย่างพระองค์ มารซาตาน รู้ว่าพระเจ้าประเสริฐ และมันอาจกล่าวยกย่องได้ แต่คำสรรเสริญของมันไร้ความหมายใดๆ เพราะมันมิได้ชื่นชอบความประเสริฐของพระเจ้า มันรู้แต่ไม่เห็นชอบ จึงไม่ได้ประพฤติตาม ถ้าเห็นชอบก็คงทำตามไปแล้ว การถวายโมทนาพระคุณที่พระเจ้าทรงชื่นชอบ จึงต้องมาจากผู้เชื่อที่ทำตาม
2. ถวายโมทนาพระคุณ เราต้องชื่นชมพระองค์ อันนี้ไม่ได้หมายความว่า เราชื่นชมความสมบูรณ์ทั้งหมดของพระองค์ หรือได้แลเห็นความยิ่งใหญ่ พระกำลัง ความประเสริฐทั้งสิ้นของพระเจ้า เพราะในความเป็นจริง ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกหล้า เก่งกาจพอจะล่วงรู้ได้ แต่ เราต้องชื่นชมพระองค์ตามขนาดปัญญาของเรา ในสิ่งที่เรารู้ เราสำนึกตรึกตรอง และบรรยายออกมาเป็นคำพูด ในด้านตรงกันข้าม การสรรเสริญเยินยอโดยไม่คิด พูดยกย่องพล่อยๆ เป็นสิ่งไร้ความหมาย เราที่เป็นมนุษย์ต่างเคยสัมผัสคำชมเช่นนี้ เรารู้ว่า “แกพูดไปตามเกม” “แกชมเป็นพิธี” ผู้ฟังไม่รู้สึกอะไร ผมไปห้างซื้อของ พนักงานคิดเงินเสร็จ ก็ยกมือขึ้นไหว้ทาบหน้าอก ทางห้างเขาสั่งมาอย่างนั้น เขาก็ทำตาม หน้าผมเขายังไม่มองเลย แล้วผมจะรู้สึกว่าเขาขอบคุณผมตรงไหน การถวายโมทนาก็เช่นกัน หากเราไม่รู้สึกไม่ไตร่ตรองย่อมไร้ค่า
3. ถวายโมทนาพระคุณ เราต้องรักพระองค์สูงสุด สมมุติว่า คนคนหนึ่งเกลียดชังพระเจ้ามาก แต่เขาก็รู้ว่าพระเจ้าประเสริฐ เขาจะโมทนาพระคุณได้หรือ แม้เขาจะร้องเพลงโมทนาว่า “พระเจ้าดี” “พระเจ้าดี” สักพันครั้ง ตะโกนดังลั่นสนั่นโลกสักแค่ไหน เสียงเพลงที่เขาร้อง ที่มิได้เกิดจากความรักพระองค์ ย่อมไม่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย ความรู้และความรักต้องไปด้วยกัน ซีโมน ฟาริสี เชิญพระเยซูมากินเลี้ยงที่บ้าน มีหญิงอดีตชั่วคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน เอาผอบน้ำหอมราคาแพงสุดๆ มาชโลมพระบาทพระองค์ ซีโมนตำหนิติเตียนพระเยซูในใจ ว่าถ้าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะจริง ต้องรู้ว่าหญิงคนนี้เป็นหญิงชั่ว โปรดสังเกตนะครับ ซีโมนรู้ว่าพระเยซูเป็นคนดี แต่เราไม่ได้ยินฟาริสีคนนี้ชื่นชมพระองค์เลย คนแอบติในใจ ย่อมไม่ชื่นชม ที่ไม่ชม ก็เพราะไม่รักไงล่ะ ส่วนหญิงอดีตชั่วคนนี้ รู้ว่าพระเยซูทรงดีต่อเธอยังไง เธอรักพระองค์มากด้วย เธอจึงได้สรรเสริญด้วยน้ำมันหอมอย่างดีเลิศ
4. ถวายโมทนาพระคุณ ต้องสำนึกว่า เราต้องพึ่งพาพระองค์ คนไทยถูกปลูกฝังว่า ตัวเราต้องเป็นที่พึ่งของตนเอง ทุกอย่างที่ได้มา ก็มาจากลำแข้งของข้าฯ ด้วยหยาดเหงื่อและน้ำพักน้ำแรงของเรา ไม่มีเทวดาฟ้าดินที่ไหนมาช่วยเรา ตัวเราเท่านั้น แล้วเราก็ตระหนักเช่นนั้น ข้าวที่กินทุกเม็ด น้ำแกงที่ซดทุกมื้อ มาแต่ตัวเราเท่านั้น แล้วเราจะยกมือขึ้นขอบพระคุณพระเจ้าได้อย่างไร ซึ่งความเป็นจริง ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผมเคยไปกินก๋วยเตี๋ยวกับน้องคนหนึ่งที่สยาม เขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า วันนั้นเขาเลี้ยงผม ก่อนกินผมก็ก้มลงอธิษฐาน แกถามผมว่า ผมอธิษฐานทำไม ผมบอกว่า “ผมขอบคุณพระเจ้า” เขาบอกว่า วันนี้เขาเป็นคนเลี้ยงผมไม่ใช่พระเจ้า เราเลยคุยกันยาว ไม่ได้โกรธอะไรกันนะครับ ผมบรรยายว่า ผมขอบคุณเขาด้วยที่เลี้ยงผม แต่ผมก็ขอบคุณพระเจ้าผู้ประทาน ข้าว เนื้อ ผัก ฯลฯ เมื่อเราโมทนาพระคุณ เขาเคยคิดไหมว่า เราขาดพระเจ้าไม่ได้ วันนี้ เราสรรเสริญพระองค์ไม่ลึกซึ้ง ก็เพราะเราคิดว่า เราเก่ง ทำเอง ทำได้ พระองค์แค่เป็นตัวเสริมนิดๆ หน่อยๆ
5. การโมทนาที่แท้จริง เราต้องดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ ชีวิตต้องไปทางเดียวกัน ไม่ใช่สวนทางกับพระองค์ พระเจ้าทรงจัดเตรียมความรอดโดยไม้กางเขนไว้ให้ แต่เราไม่เห็นด้วย เรากลับเชื่อว่าเรารอดโดยการทำบุญ พระองค์ประสงค์ให้เราดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ แต่เราไม่เห็นด้วย กลับไปมีหนังสืออะไรอีกเล่มหนึ่งมาใช้ แล้วเราจะไปสรรเสริญพระองค์ด้วยความจริงใจได้อย่างไร ถ้าเราที่เป็นผู้เชื่อ ไม่เคารพ เชื่อฟังพระคำของพระเจ้า “ดำเนินชีวิตตรงกันข้ามกับวิถีของพระองค์” เราจะโมทนาพระคุณพระเจ้าด้วยความจริงใจได้อย่างไร นี่เป็นเหตุผล ที่ ตอนถัดไปของ สดุดี 50:23 คือ “และผู้ใดที่จัดเตรียมทางประพฤติของตนไว้ดี เราจะสำแดงความรอดของพระเจ้าแก่ผู้นั้น” (พระคัมภีร์ ฉบับ 1970)
ข้อดีของการโมทนาพระคุณ
การโมทนาพระคุณ นอกจากทำให้พระเจ้าพอพระทัยแล้ว ยังผลดีมายังตัวของเรา และคนอื่นด้วย
1. การโมทนาพระคุณ ทำให้เราจะเป็นอย่างเดียวกับพระเจ้า
ชาร์ล จี ฟินนี กล่าวว่า “เวลาเราชมเชยใคร เราจะเลียนแบบคนคนนั้นโดยไม่รู้ตัว” เวลาเรายกย่องสรรเสริญพระเจ้า เราจะเปลี่ยนตัวของเราให้เหมือนกับพระองค์ การเรียนรู้พระลักษณะอันประเสริฐของพระองค์ ชื่นชอบ และยกย่อง จะทำให้เรามุ่งสร้างตัวเรา ให้เป็นเหมือนอย่างพระองค์โดยปริยาย
2. การโมทนาพระคุณ ทำให้เรามีวิญญาณของการสรรเสริญ เพิ่มชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ เราจะยิ่งใช้ชีวิตเกิดประโยชน์ ทำงานรับใช้อย่างมีพลัง ตรงกันข้ามกับวิญญาณของการสรรเสริญ คือ วิญญาณของความท้อถอย ห่อเหี่ยว ถดถอย การโมทนาพระคุณทำให้เรารู้ว่าเรากำลังอยู่ฝ่ายเดียวกับพระเจ้า คือฝ่ายชัยชนะ
3. การโมทนาพระคุณ ทำให้เห็นว่าเราเป็นชาวสวรรค์ ในสวรรค์มีการสรรเสริญพระเจ้าตลอดวันตลอดคืน “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” (วิวรณ์ 4:8) เวลามีคนกลับใจใหม่คนหนึ่ง ในสวรรค์มีความเปรมปรีดิ์มากมายท่ามกลางทูตสวรรค์ (ลูกา 15:7,10) ในเมื่อเราเป็นชาวสวรรค์ เราต้องมีนิสัยสรรเสริญพระองค์
4. การโมทนาพระคุณเปิดโอกาสให้พระเจ้า ทำการของพระองค์ พระเจ้าอวยพร เมื่อเราสรรเสริญ ( สดุดี 67:5-7 ) เมื่อกษัตริย์ซาโลมอน นำหีบพันธสัญญาไมตรีเข้ามายังพระวิหาร กษัตริย์ซาโลมอนกับชุมนุมชนอิสราเอล ต่างสรรเสริญพระเจ้าสุดใจด้วยคณะนักร้อง และดนตรี พระสิริของพระเจ้าเป็นเมฆก็ปกคลุมพระนิเวศน์เต็มไปหมด ( 2 พงศาวดาร 5:2-14 )
5. การโมทนาพระคุณ ทำให้บุคคลภายนอกสำนึกผิด เมื่อพวกเขาเห็นหรือได้ยินผู้เชื่อโมทนาพระคุณ พวกเขาจะสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้าได้โดยง่าย เขาจะรู้สึกว่าเขาละเลย การคิดถึงพระคุณพระเจ้า ทำให้เขาแสวงหาพระเจ้า ก่อนที่ 3000 คนจะกลับใจเชื่อในวันเพนเตคอศเต พวกสาวก 120 รับพระวิญญาณ สรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษาของพวกเขา และฟังเปโตรเทศนา ( กิจการ 2:11,37-41 )
ทุกวันนี้เราอธิษฐานทูลขอพระองค์มากมาย ต่อมาพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราแล้ว แล้วยังไงละ เราได้ขอบคุณพระเจ้า โมทนาคุณพระองค์ สรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่ทรงประทานให้เราแล้วหรือไม่ ขอให้เราเริ่มต้นใหม่โดยการไตร่ตรอง คิดถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ จนใจเราซาบซึ้งและโมทนา
|