(มธ. 28: 19 – 20) “เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพตีสมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และ พระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
พระบัญชาที่พระองค์ทรงมอบให้เรา ไม่ได้เป็นแต่เพียงพระบัญชาเท่านั้นแต่ พระองค์ทรงมอบพระสัญญามากมาย พร้อมกับพระบัญชานี้ พระสัญญาที่บันทึกไว้ ใน (มก. 16: 15-17 ลก. 24: 47 – 48 ยน. 20: 23 กจ. 1: 4-5, 8) พระสัญญาอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมอบให้เรา พร้อมกับพระบัญชา พระองค์สัญญาจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตกับเราเป็นผู้ช่วยเหลือเรา พระองค์ประทานฤทธิ์เดช และสิทธิอำนาจในการรักษาโรคภัย ในการทำการอัศจรรย์ให้กระทำหมายสำคัญมากมาย ทรงให้เราเลี้ยงดู สั่งสอนให้คนรับบัพตีสมา สอนเขารักษาสิ่งสารพัดที่พระองค์ทรงสอนในนามพระองค์ ทรงวางพระทัยให้เราทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่แทนพระองค์ พระองค์ทรงมอบอำนาจให้เรารับผิดชอบเสมือนหนึ่งพระองค์ทรงกระทำ พระองค์ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีพระใดในโลกเสมอเหมือนพระองค์ ไม่มีพระใดในโลกที่จะยกโทษความผิดบาปได้ แต่พระองค์ทรงวางพระทัยเรา ให้กระทำแทนพระองค์ แม้กระทั่งให้คนกลับใจ และ ยกบาป พระองค์ก็ทรงพอพระทัยให้เรากระทำเสมือนหนึ่งพระองค์เอง นับเป็นพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิทธิพิเศษสำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย เราจะรับพระสัญญาได้อย่างไร ......
เพียงแต่รับพระบัญชาและติดสนิทกับพระองค์ พระสัญญาทั้งหลายเหล่านี้พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรา งานตามพระบัญชานี้ ยิ่งใหญ่ทำไม่มีสิ้นสุดตลอดชีวิตของเรา ยิ่งทำตามพระบัญชา ยิ่งได้รับพระสัญญา การประกาศ นำคนมาเชื่อในพระองค์ ไม่ได้สิ้นสุดที่จุดใดจุดหนึ่ง พระองค์ทรงให้เรารดน้ำพรวนดิน แต่พระองค์ทรงทำให้เติบโต นั่นคือ การเลี้ยงดู กระทำได้หลายรูปแบบ ตามของประทาน และ การใช้ชีวิตประจำวัน การสั่งสอน การตักเตือน การรับฟัง การใช้ชีวิตเป็นแบบอย่าง การอดทน การอธิษฐานเผื่อด้วยความรัก การสำแดงความรัก การหนุนใจ ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของการเลี้ยงดู แต่ละคนที่มาเชื่อพระเจ้า การเจริญเติมโตต่างกัน ทั้งผู้เลี้ยงดู ผู้ถูกเลี้ยงดู ต่างก็มีความจำเป็นต้องเจริญเติบโตไปด้วยกัน ทุกคนทำหน้าที่สำคัญนี้ได้ทุกคน ประสานกันเป็นตึกของพระองค์ จะขาดคนใดไปก็ไม่ได้ แต่ละคนจะสำคัญ หรือ ด้อยความสำคัญกว่ากันไม่ได้ เราไม่สามารถเติบโตขึ้นโดยลำพัง โดยไม่มีคนอื่น เข้ามามีส่วนในชีวิตเราไม่ได้ แต่ละคนเติบโตไม่เท่ากัน ระยะเวลาต่างกัน ขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ การเลี้ยงดูจากการช่วยเหลือพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากการเลือกของแต่ละคน ยิ่งมอบเวลากับพระองค์ ยิ่งมอบชีวิตให้พระองค์มากเท่าใด พระองค์ก็ทรงพอพระทัยมากเท่านั้น ยิ่งใกล้พระองค์ ยิ่งเหมือนพระองค์ พระองค์ยิ่งทรงมอบพระสัญญาให้เพิ่มยิ่งขึ้น เราต้องปรับจูนเราให้ใกล้ชิดและเหมือนพระองค์ทุกวัน เพื่อเราจะเป็นที่พอพระทัยพระองค์ เพื่อเราจะเหมือนพระองค์มากยิ่งขึ้น ยิ่งไกล้ก็ยิ่งเหมือน ยิ่งเหมือนก็ยิ่งได้รับสิ่งสารพัดจากพระองค์
พระองค์ยิ่งทรงประทานสิ่งสารพัดมากขึ้นในชีวิตเรา ใจคริสตจักรไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองอย่างเดียว ไม่ได้อยู่กับคนใดคนหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับทุกคน รวมทั้งตัวเราเอง สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเป็นอุปกรณ์และสัญญาณให้เรารู้ว่า เราใกล้ชิดพระองค์เพียงใด เราเหมือนพระองค์เพียงใด พระสัญญาเราจะรับตามความไกล้ชิดกับพระองค์