พระเยซูทรงสงสารคน

 

ศ.บ

 

มัทธิว 9:36

      และ​เมื่อ​พระ​องค์​ทอด​พระ​เนตร​เห็น​ประชาชน​ก็​ทรง​สงสาร​เขา ด้วย​เขา​ถูก​รัง​ควาน​และ​ไร้​ที่​พึ่ง​ดุจ​ฝูง​แกะ​ไม่​มี​ผู้​เลี้ยง” 

 

 

 

 

       พระเยซูทรงขยันประกาศ เพราะสงสารคน

       วันนี้ เป็นวันที่คริสตจักรของเรามีอายุครบรอบ 51 ปี 

       

        พระเจ้าสอนการประกาศผมอย่างไร

        ช่วงที่โบสถ์เราตั้งอยู่หน้าท้องฟ้าจำลอง สุขุมวิท ซอย 59 ในปี 1969-1974 ผมยังหนุ่มเชียว ช่วงนั้นผมเรียนเภสัชจบแล้ว  ทำงานอยู่บริษัทเลอ เปอร์ตี้ต์ ที่บางนา เป็นผู้แทนขายยา ผมพักอยู่ที่ชั้นบนของร้านขายหนังสือ เอฟ ซี เอ็ม บุ๊คสโตร์ อยู่ที่สยามแสควร์  ช่วงนั้นอาจารย์บอบบี้ เป็นศิษยาภิบาล มีมิชชั่นนารีหญิง 2 คน คือคุณ แอน และคุณ คริสตีน ชาวนิวซีแลนด์ มาร่วมประชุมที่โบสถ์สามัคคีธรรม หน้าท้องฟ้าจำลอง  วันหนึ่งเธอมาบอกผมว่า มีทีมวายแวมที่เป็นฝรั่งประมาณ 30 คน ต้องการออกไปเป็นพยานในกรุงเทพฯ  แต่พวกเขาพูดฟังภาษาไทยไม่ได้ อยากได้อาสาสมัครคนไทยไปเป็นล่ามช่วยแปล คนเหล่านี้  ผมมีภาษาอังกฤษแบบนักศึกษาไทยทั่วไป คือ เขียน อ่านได้ รู้ไวยกรณ์พอควร แต่ฟังและพูดค่อนข้างแย่ แล้วผมก็ขันอาสาไปเป็นล่ามให้กับทีม

คู่ฝรั่งที่ผมไปด้วย คือ เคลวิน สไตเนอร์ (มาเยี่ยมโบสถ์เราหลายครั้ง)

         ผมเชื่อว่าเป็นการทรงนำจากพระเจ้า  เพราะภายหลัง ผมพบว่า เคลวิน เป็นผู้มีของประทานในการเผยแพร่ข่าวประเสริฐ  และเป็นนักเป็นพยานตัวยง (ความเห็นผมเองน่ะครับ)

 

 

 

         เรามีการนัดแนะกัน พอผมเสร็จงานจากบริษัทเลอร์ เปอร์ตี้ต์ กลับถึงที่พักตอนเย็น เคลวิน มักมารอผมอยู่แล้ว  เราก็ชวนกันออกไป เดินตามซอกซอย ย่านถนนสุขุมวิท  แฟลตดินแดง ถนนเยาวราช เคาะประตูบ้านคน หลายคนเห็นฝรั่งก็อยากพูดคุยด้วย บางคนไม่ชอบ ปิดประตูใส่หน้าเราก็มี เราไปหาอาหารเย็นทานตามร้านข้างถนน ส่วนมากเคลวินจะกินแต่ข้าวผัด ผมจำได้ว่า เคลวินชอบชาเย็นโบราณ  ผมไม่คิดว่าจะนำใครมาเชื่อพระเจ้าได้ง่าย ๆ เพราะฝังใจมาตั้งแต่เด็กว่า คนไทยมีศาสนาที่แน่นแฟ้น ผูกพันกับขนบธรรมเนียมประเพณี ยากที่จะนำมาเชื่อพระเยซู 

 

         เคลวิน มักสร้างเพื่อนใหม่อย่างรวดเร็ว เช่น ทักทาย คนที่มานั่งทานอาหารโต๊ะข้าง ๆ โดยการพูดเล่น ยักคิ้วหลิ่วตา เชิงเล่นเชิงจริง ซึ่งมันมิใช่เป็นนิสัยผมสักหน่อย เพราะผมไปตีสนิทกับคนแปลกหน้าไม่เป็น คนไทยมีนิสัยรับแขกดี เคลวินถามไถ่เรื่องง่าย ๆ เช่น เรียนที่ไหน  วิชาอะไร  ทำงานเหนื่อยไหม  ผมคิดว่า เคลวินเป็นนักสังเกตด้วยว่า ใครอยากคุยกับเขา ใครไม่อยากคุย แทบทุกที่ที่เราไป ผมมักเห็นคนอยากคุยกับเราเสมอ   ตอนไปที่ห้องต่าง ๆ ในแฟลต เราใช้ใบสำรวจง่าย ๆ 3 ข้อ  (1) คุณเคยได้ยินเรื่องพระเจ้าไหม (2) คุณเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงไหม  (3) คุณเคยได้ยินเรื่องพระเยซูไหม 

 

 

 

       ผมเป็นคนเบิกทาง ขึ้นต้นก็แนะนำเขาก่อนว่า  “วันนี้ ผมมีเพื่อนฝรั่งจากนิวซีแลนด์ เขาอยากคุยกับคนไทย และสำรวจความคิดเห็น ขอเวลาสักหน่อยได้ไหม”  ครับ ใบสำรวจ มันคือใบเบิกทาง  ส่วนมาก คนที่ไม่อยากคุยกับเรา มักพูดปัดว่า เขาไม่ว่าง มีธุระ เขาไม่มีเวลา อย่างว่าแหละครับ 10-20 ห้องจะเป็นอาการแบบนี้เกือบทั้งนั้น  แต่ก็มีบางห้อง ที่อยากคุยกับเรา  เชิญเราเข้าไปนั่ง  ผมดูอาการ น่าจะเพราะอยากคุยกับฝรั่ง หรือบางทีก็เพราะมีทุกข์  เรามักพบคนน่าสงสารเสมอ นึกถึงคำของพระเยซูว่า “คนเจ็บต้องการหมอ  แต่คนที่เห็นว่าตนปกติไม่ต้องการ” 

 

      ช่วงนั้นผมขายยาตามโรงพยาบาล การพยายามคุยกับหมอ ที่ไม่มีเวลาคุยกับผู้แทนขายนี่  ผมรู้ดี   ดังนั้น เวลาเราเคาะประตูบ้าน และพบคนที่ไม่สนใจนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม เคลวิน เอง ก็ไม่ย่อท้ออะไร  ที่บริษัท เซลล์แมนถูกสอนว่า เวลาลูกค้าไม่สนใจ อย่าไปท้อถอยกับคนที่ไม่สนใจ  แต่จงตาตื่นกับคนที่สนใจจะซื้อยา  ฉันใดฉันนั้น เมื่อเป็นพยาน เราจะต้องไม่จิตตก  เศร้าสร้อย  ท้อแท้ กับ 10-20 ห้องที่เราไปเคาะประตูแล้วไม่สนใจ   แต่เราตื่นเต้นกับคนที่สนใจ  

   

   

 

       พระเยซูตรัสว่า เวลาชาวนาออกไปหว่านพืช  เมล็ดนั้นตกลงในดิน 4 ชนิด มี 3 ชนิดที่หว่านแล้วเสียเปล่า  คือที่ตกริมหนทาง  ตกบนพื้นหินมากดินน้อย  และที่ตกลงกลางหนาม  ครับ  แต่ก็มีเมล็ดพืช ซึ่งตกลงบนดินดี  ซึ่งพระองค์หมายถึง ผู้ที่รับพระคำไว้  ฟังแล้วเข้าใจ และมีใจเลื่อมใสศรัทธา  ที่จะเกิดผลมาก 30 เท่า 60 เท่า  100 เท่า  เยอะอยู่น่ะครับ  

 

      เคลวิน มารอผมที่ร้านขายหนังสือ และเราออกกันไปอย่างนี้ อยู่ประมาณ 1-2 เดือน หายไปต่างประเทศและกลับมาใหม่เป็นครั้งคราว ครั้งแรกมากับทีมวายแวม ช่วงหลัง แม้มาคนเดียว ก็รี่มาหาผมที่บ้าน และชวนกันออกไปเป็นพยาน เป็นการฝึกภาษาอังกฤษ และความกล้าหาญผมไปในตัว  โดยผมไม่เคยคิดมาก่อน  พระเจ้าทรงประเสริฐแท้ พระองค์มีวิธีฝึกผม  เคลวินพูดภาษาอังกฤษกับผู้สนใจ  ผมแปลเป็นไทย บางครั้งผมฟังเคลวิน ไม่ออก  ผมก็แปลแบบดำน้ำของผมไป เคลวินก็ไม่รู้ว่าผมแปลผิดหรือถูก เพราะเคลวินไม่รู้ภาษาไทย  ส่วนน้องที่ฟังผมก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะแกไม่รู้ภาษาอังกฤษ  ผมก็สนุกน่ะซี  จับคู่กันทำงานอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ผมก็เริ่มฟังเคลวินได้เก่งขึ้น  

 

 

 

        เมื่อมาที่โบสถ์สามัคคีธรรม สมัยนั้นมีฝรั่งมาโบสถ์เยอะ ทุกครั้งที่เทศนา อาจารย์บอบบี้ ท่านเทศน์เป็นภาษาอังกฤษ  อาจารย์ท่านให้ผมแปลเป็นไทย ผม  ซึ่งถูกฝึกมาจากการออกไปเป็นพยาน จึงทำได้ง่ายขึ้น อาจารย์บอบบี้เป็นคนอเมริกัน  ภาษาอังกฤษของอาจารย์บอบบี้ เข้าใจง่ายกว่าเคลวินเยอะ ทั้งถ้าผมแปลไม่ออก ท่านก็หาศัพท์คำใหม่ที่ง่ายขึ้น ถ้าจนแต้มเข้าจริง ๆ ท่านก็แปลเป็นไทยเสียเอง เพราะท่านรู้ภาษาไทยดี  

    

         ในช่วงเวลา 2-3 เดือนที่เราออกไป  เรานำคนเชื่อพระเยซูทั้งชายและหญิง ประมาณ 7-8 คน ผมรู้จักหมดทุกคน

 

เรานัดคนเหล่านี้มา ร่วมประชุมกันที่ห้องประชุมชั้นสอง ของร้านขายหนังสือ เอฟ ซี เอ็ม บุ๊คสโตร์ ที่สยามแสควร์ แหม่ม แอนนา    มิชชั่นนารีชาวนอร์เวย์อนุญาตให้เราใช้ห้องนั้นเป็นที่ประชุม ทุกวันเสาร์เราจึงพบกับผู้เชื่อ ซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวส่วนมาก เคลวินสอนพระคัมภีร์ และผมก็เป็นล่ามแปล ผมตื่นเต้นมากที่มีส่วนนำคนเหล่านี้มาเชื่อพระเยซู เพราะตั้งแต่เป็นคริสเตียน ไม่เคยนำใครมารับเชื่อ 

 

 

 

      ใจเมตตาสงสารคน

      สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังอย่างหนึ่ง  คือ เคลวิน เป็นคนขี้สงสารคน และนี่เอง เป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นแรงผลักดันเขาให้ ออกไปเป็นพยาน ประกาศพระกิตติคุณ 

      

       อ่านพระคัมภีร์แล้ว 

      ผมพบว่า พระเยซูเมตตาสงสารคนอย่างน่าทึ่งที่สุด

  ตอนที่พระองค์ไปยังเมืองนาอิน มีคนหามศพหนุ่มคนหนึ่งมา เขาเป็นลูกคนเดียวของแม่ สามีเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว เธอเป็นม่ายอยู่กับลูกชายคนนี้ วันนั้นลูกจากไป เธอสิ้นหวัง  พอพระเยซูเห็นเธอ พระองค์ทรงเมตตากรุณาเธอ ตรัสว่า “อย่าร้องไห้” แล้วพระองค์ก็เรียกหนุ่มนั้นเป็นขึ้นจากตาย มอบหนุ่มนั้นให้แม่ (ลูกา 7:11-15) สังคมเราวันนี้ มีแม่ม่ายอย่างนี้  มีคนสิ้นหวังอย่างนี้ ผมกลัวเหลือเกิน หากเราทราบเรื่อง แล้วเรารู้สึกเฉย ๆ สงสารคนทุกข์ไม่เป็น เห็นใจคนไม่เป็น ไม่เคยมีน้ำตาให้ใคร ใจอย่างนี้ ไม่ผลักดันให้เราประกาศแน่ 

 

 

 

       พระเยซูเสด็จผ่านเยรีโค มีคนตาบอด 2 คนนั่งข้างถนน ร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ “เยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์เถิด” มีคนห้ามเขาให้เงียบเสียง   แต่เขายิ่งร้องดังขึ้น   เขาเป็นขอทานตาบอด   ทีวี เขาเคยทำรายการ ให้เราลองใช้ชีวิตเป็นคนตาบอดสัก 1 วัน แลไม่เห็นอะไรเลย  ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร  แค่ชั่วโมงเดียว ก็แย่แล้ว แล้วคนที่ตาบอดมาชั่วชีวิตจะรู้สึกอย่างไร  พระคัมภีร์บันทึกว่า “พระเยซูมีพระทัยสงสาร ทรงถูกต้องนัยน์ตาเขา ทันใดนั้นตาเขาก็เห็นได้  ทั้งสองติดตามพระองค์ไป” ( มัทธิว 20:34) 

 

        คนพิการ ง่อยเปลี้ยเสียขา นั่งรถเข็น ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ มือลีบ รอบ ๆ  ตัวเรามากมาย เราอาจเฉย ๆ แต่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้ว เมตตาสงสารเขา ไม่แปลกที่พระองค์ไม่เหน็ดเหนื่อย รักษาโรคเขา เช้ายันค่ำ (มาระโก 1:32)

        ผู้คนมาฟังพระเยซูเทศนาสั่งสอน ไม่ยอมไปไหน คนเหล่านี้ไม่อาจพึ่งพาใคร พึ่งเฮโรด พึ่งปุโรหิต หรือโรมก็ไม่ได้ทั้งนั้น  จึงแห่กันมาหาพระเยซู มารอคอยพระองค์ที่ชายฝั่งกาลิลี  พระคัมภีร์บันทึกว่า “พระองค์ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่  ทรงสงสารเขา  จึงรักษาคนป่วยของเขาให้หาย” (มัทธิว 14:14) 

 

       เหมือนแกะไร้ผู้เลี้ยง เหมือนคนไร้ผู้นำ เหมือนโบสถ์ไร้ ศบ. พวกเขาหิวอาหาร พวกสาวกจะให้พวกเขากลับบ้าน “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” แล้วทรงทำการอัศจรรย์เลี้ยงคนกว่า 5000 คนด้วยขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว (มาระโก 6:34-42) พระเยซูทรงสงสารพวกเขา  

 

 

 

อีกตอนหนึ่ง  “พระองค์ทอดพระเนตร เห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควาน ดังลูกแกะไม่มีผู้เลี้ยง”  (มัทธิว 9:36) แล้วพระองค์ก็เชิญชวนสาวกให้อธิษฐานทูลพระบิดาให้ส่งคนงานมาช่วยคนเหล่านี้

        พระคัมภีร์บันทึกมากกว่านี้ ทำไม ชาวสะมาเรียกระโดดลงไปช่วยคนเจ็บ “เห็นแล้วเมตตาสงสาร” ทำไมปุโรหิต และเลวี เดินหลบไปอีกข้างหนึ่ง เขาไม่มีใจอย่างชาวสะมาเรีย (ลูกา 10:33)

       

          แรงผลักดัน ที่ทำให้เราประกาศพระกิตติคุณ  

         ที่ทำให้อาจารย์บอบบี้เปิดคริสตจักร ที่ทำให้เคลวินขยันเป็นพยาน ทำให้คริสตจักรออกไปประกาศ สั่งสอน  สงเคราะห์คนจน ที่ทำให้หัวหน้าเซลล์ออกไปพบคน แรงผลักดันที่ทำให้สมาชิก เปิดปากคุยกับคนในที่ทำงาน แรงผลักดันที่ทำให้เรา ควักเงินในกระเป๋าช่วยงานรับใช้ แรงผลักดันที่ทำให้เราคุกเข่าลงอธิษฐาน  แรงผลักดันที่ทำให้เราอยากเปิดคริสตจักรทวีขึ้นไปอีกให้ทั่วประเทศไทย ในหมู่บ้าน ตำบล ในหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะเขาถูกรังควาน ไร้ที่พึ่ง ไม่รู้ซ้ายรู้ขวา หาสันติสุขในใจไม่ได้ เราเห็น เราได้ยิน เราสัมผัส ถามว่า  แล้วเรารู้สึกอย่างไร  

        

        พระเยซู “เห็นแล้วสงสารเขา”  

        ใจเช่นนี้ คือ ใจที่ขับเคลื่อนคริสตจักร ถ้าเราไม่มีใจเช่นนี้ งานคริสตจักรก็เหมือนธุรกิจ โตไม่ได้  คริสตจักรโตได้ง่ายขึ้นมาก หากคริสเตียนทุกคนมีใจอย่างนี้  ลองคิดนิดนึง  เรามายังไง  พระเจ้าเมตตาเราอย่างไร เรามาถึงวันนี้ได้อย่างไร วันนี้ ยังมีคนไทยอีกจำนวนมากมายมหาศาลที่เป็นดังแกะไร้ผู้เลี้ยง ไร้ที่พึ่ง เราสงสารเขา อย่างพระเยซูหรือเปล่า

          ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ       

 


Visitor 273

 อ่านบทความย้อนหลัง