จะขอบพระคุณ หรือ จะบ่น ดี


ศบ.

อ่านเรื่องราวของคนยิว ที่พระเจ้าบัญชาให้โมเสส พาออกมาจากอียิปต์แล้ว เราจะแลเห็นสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือพระเจ้าทรงการอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่มาก และเรื่องที่สองคือ คนยิวขี้บ่น นักจิตวิทยา เขาเคยเอาเครื่องอัดเสียงไป แอบอัดการสนทนาของครอบครัวบนโต๊ะอาหารหลายบ้าน และเขาพบว่า (1) บางบ้านเงียบมาก ไม่พูดไม่จากันเลย มีแต่คำว่า “ช่วยส่งพริกไทย” “ขอเกลือหน่อย” “ขอบคุณ” แล้วก็เงียบ (2) บางบ้าน “คุยกันเรื่องชาวบ้านชาวช่อง เรื่องการเมือง (3) ที่มากที่สุด คือ บนโต๊ะอาหาร มีแต่เสียงบ่น บ่นเรื่องอาหารบนโต๊ะ “รสชาติไม่ได้เรื่อง” “เค็มเกิน” “เผ็ดจัง กินได้ยังไง” “คนมาส่งของก็แย่” “เศรษฐกิจก็ทรุด” “สุขภาพก็แย่” “ของก็แพง” “รถก็ติด” (4) ที่น้อยที่สุด คือการสนทนาบนโต๊ะอาหาร เต็มไปด้วยคำชม “อาหารรสดีจัง” “แม่ครัวเก่งน่ะ” “เพลงที่เปิดก็เพราะ” “น้องทีมาช่วยเราก็น่ารัก” “ดีน่ะที่เรายังแข็งแรงขนาดนี้”

 

 


วันก่อนผมเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าทรงนำคนยิวออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์นั้น ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์แท้ ๆ พระเจ้าให้โมเสส และอาโรนต่อรองกับฟาโรห์ เมื่อฟาโรห์ไม่ยอม บังคับเกณฑ์ให้คนยิวทำงานหนักขึ้น พวกยิวก็บ่นว่าทั้งสองทำให้ฟาโรห์เกลียดชัง เหมือนประเคนดาบใสมือฟาโรห์มาฆ่าพวกเขา นี่คือเสียงบ่น ตั้งแต่พระเจ้าเริ่มช่วยเขาน่ะครับ


แต่เพราะรักและอดทน พระเจ้าก็ทรงทำการอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ ด้วยการอัศจรรย์ และภัยพิบัตินานา เช่น ให้น้ำในแม่น้ำไนล์กลายเป็นเลือด ให้มีฝูงเหลือบ ให้มีลูกเห็บตกลงมา และภัยพิบัติสุดท้าย เมื่อทูตมรณะประหารบุตรหัวปีในบ้านของชาวอียิปต์ ที่ไม่ได้เอาเลือดลูกแกะทาไว้หน้าประตูบ้าน ครั้งนี้ แม้โอรสของกษัตริย์ฟาโรห์ก็ถูกทูตมรณะประหารด้วย ฟาโรห์จึงยอมปล่อยคนยิวออกจากการเป็นทาส นี่คือการปลดพวกเขาหลุดออกมาจากการเป็นทาส

 

 


ครั้งล่าสุด เมื่อปล่อยคนยิวออกมาแล้ว คนยิวมาติดบก เพราะมีทะเลขวางกั้นอยู่ ฟาโรห์ก็คาดว่าจะบดขยี้ยิวให้สิ้นซาก พอคนยิวเห็นฝุ่นฟุ้งตลบ เพราะรถม้าฟาโรห์ ตามมา พวกเขาก็บ่นโอดครวญ “หลุมศพในอียิปต์ไม่มีหรือท่านจึงพาเราออกมาให้ตายในถิ่นทุรกันดาร ทำไมหนอท่านจึงพาเราออกมาจากอียิปต์ พวกเราบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าปล่อยพวกเราแต่ลำพัง เพราะการรับใช้ชาวอียิปต์นั้น ก็ยังดีกว่าที่จะมาตายในถิ่นทุรกันดาร” (อพยพ 14:11)


แล้วพระเจ้าทรงบัญชาให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้น น้ำทะเลก็แหวกออก ทำให้ทะเลแห้งเป็นทางเดินให้คนยิวเดินข้ามไป เมื่อรถรบของฟาโรห์ตามลงไปจะไล่ฆ่าพวกยิว พระเจ้าทรงให้ลมพัดกลับทิศ ท่วมกองทัพของฟาโรห์ทั้งหมด พวกเขาจึงรอดตายและเป็นอิสระทั้งหมด น่าจะกราบของโทษพระเจ้าที่ตีตนก่อนไข้ ปอดสั่นขวัญเสียเพราะไร้ความเชื่อ

ในการเดินทางของยิวนับแสนนับล้าน ในทะเลทราย พระเจ้าให้มีเสาเมฆในเวลากลางวัน เป็นร่มเงา ทรงให้มีเสาเพลิง ดั่งไฟฉายส่องทางเวลากลางคืน เพิ่งเต้นโลดด้วยความดีใจ เหมือนคริสเตียนใหม่ เพิ่งรับศีลบัพติสมา ผ่านมาแค่ 3 วันมาถึงตำบลมาราห์ น้ำที่นั่นขม ดื่มไม่ได้ พวกเขาก็เริ่มปากเปราะเราะราย นิสัยขี้บ่นพกออกมาจากอียิปต์ก็เริ่มออกลาย บ่นว่าโมเสส “พวกเราจะเอาอะไรดื่ม” โมเสสก็ร้องทูลพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงชี้ให้โมเสสเห็นต้นไม้หนึ่ง เมื่อโยนต้นไม้นั้นลงในน้ำ น้ำก็จืด ( อพยพ 15:22-25) คนยิวก็มีน้ำได้ดื่มกินสำราญ พระเจ้าก็สอนพวกเขา ว่า “จำเอาไว้น่ะ เราคือแพทย์ หากมีไข้ได้ป่วยเราบำบัดได้ โอ เค น่ะ ถ้าวางใจเรา โรคาพยาธิทั้งหลายทั้งปวง ที่คนอียิปต์เขาเจ็บเขาป่วยกัน จะไม่เข้ามากล้ำกลายพวกเจ้า” (อพยพ 15:26)


ผ่านมาไม่ถึงสองเดือน ที่ระหว่างตำบลเอลิม กับภูเขาซีนาย พวกยิวก็บ่นอีก “พระเจ้าน่าจะประหารพวกเราให้ตาย เสียตั้งแต่อยู่ที่อียิปต์ ที่นั่นยังได้นั่งใกล้หม้อเนื้อตุ๋น อาหารอิ่มหนำสำราญดีกว่า พาพวกเรามาอดๆ อยากๆ อ่อนระโหยโรยแรง ในถิ่นทุรกันดารนี้” (อพยพ 16:3) สมัยก่อน ยังมีเหล้ายาปลาปิ้ง สมัยก่อน เงินยังเฝือมือ แต่ก่อนชีวิตยังมีรสมีชาติ ยังกินข้าวร้อนนอนตื่นสาย วันนี้ต้องมานั่งกินแกลบกินรำ อยู่อย่างยาก เบี้ยน้อยหอยน้อย นี่หรือสู่ดินแดนพระสัญญา จวกโมเสสยับเยิน เมื่อโมเสสทูลพระเจ้า พระองค์ก็โปรดประทานมานา เป็นอาหารทิพย์ลงมาจากฟ้า ทุกเช้า ทุกวัน “ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากฟ้า ดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน แต่พอกิน” (อพยพ 16:4) พอตกเย็น พระเจ้าก็ให้ฝูงนกคุ่ม บินมาเต็มค่าย ตกรอบที่พักของค่าย พวกเขาก็มีเนื้อรับประทาน ไม่ต้องพูดถึงน่ะครับว่า พวกเขาดื้อแค่ไหน พระเจ้าให้เก็บทุกวันแต่พอกินเพื่อจะได้วางใจพระองค์ พวกเขาก็เก็บตุน เพราะไม่ไว้ใจพระเจ้า


มาถึงตำบลเรฟิดิม ที่นั่นไม่มีน้ำ พวกเขาก็วิ่งมาหาโมเสส บ่นอีกตามฟอร์ม “ทำไมพวกท่านจึงพาพวกข้า ทั้งบุตร และฝูงสัตว์ของพวกข้าออกมาจากประเทศอียิปต์ ให้อดน้ำตาย” โมเสสก็ร้องทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์จะทำอย่างไรกับชนชาตินี้ดี เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพระองค์ให้ตายอยู่แล้ว” (อพยพ 17:3-4) คราวนี้ไม่ใช่ บ่นแต่ปากน่ะครับ ทำท่าจะลงมือลงไม้กับโมเสส พระเจ้าสั่งให้โมเสสเอาไม้เท้าตีที่หินผา น้ำก็ไหลทะลักออกมา ประชาชนก็ได้ดื่มสดชื่นอีก


วิธีของพระเจ้า ในการปั้นเรา เหมือนพ่อแม่ปั้นลูก การเผชิญความยากลำบากเป็น วิธีฝึกความอดทน ฝึกวินัย ฝึกความไว้วางใจที่เรามีกับพระองค์ แต่พอเราพบความยากลำบาก พบทุกข์ แทนที่เราจะพึ่งพระองค์ วางใจพระองค์มากยิ่งขึ้น เราก็ไม่ทน การบ่น โอดครวญ อย่างคนยิว เป็นอาการของคนที่อดรนทนไม่ได้ โจมตีพระเจ้า และฉุนกันเอง เราจึงไม่ถูกปั้น เราจึงอ่อนแอ เปาโลว่า “จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่น และทุ่มเถียงกัน เพื่อท่านจะไม่ถูกติเตียนและมีความผิด” (ฟิลิปปี 2:14-15)


แท้จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้รับ มันยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด คือการฉุดเขาออกมาจากการตกเป็นทาส ให้มีชีวิตใหม่ แผ่นดินพระสัญญาอยู่ข้างหน้าพวกเขา คริสเตียนก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่ เราได้รับวันนี้มันยิ่งใหญ่เท่าฟ้า เราได้รับชีวิตนิรันดร์อันสุดแสนประเสริฐ แต่พอเราพบปัญหาแค่หางอึ่ง เงินขาดมือ คนเข้าใจเราผิด ถูกโจมตี ขาดแคลน ทุกข์ยาก เราก็นึกหวนกลับไปอียิปต์ แค่นึกถึงพระคุณความรอด ที่ทำให้เราลืมตาอ้าปากได้วันนี้ เสียงบ่น ก็จะมลายหายไปจากปากของเราแล้ว

โมเสส ขึ้นไปบนภูเขาซีนาย เพื่อรับพระบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า พอกลับลงมาก็พบว่า พวกยิวขบถ เพราะเห็นว่าโมเสสหายหน้าไป พวกเขาพากันมาหาอาโรน เพื่อสร้างรูปวัวทองคำขึ้นเป็นพระ กล่าวว่า “โออิสราเอล สิ่งเหล่านี้แหละเป็นพระของเจ้า ซึ่งนำเจ้าออกมาจากอียิปต์” (อพยพ 32:4) ผมนึกไม่ออกว่า เพี้ยนไปได้ถึงขนาดนี้ได้อย่างไร เหมือนคนลืมตัว วัวลืมตีน ลืมอิสรภาพที่พระเจ้ามอบให้ ลืมการอัศจรรย์ที่ทะเลแดง ลืมความรอดขณะที่กองทัพของฟาโรห์กำลังจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ลืมประสบการณ์หายใจไม่ทั่วท้องของตนได้อย่างไร มันน่าอิดหนาระอาใจแท้ พระเจ้าจวนจะประหารพวกเขาสิ้นจริง ๆ แต่โมเสสกราบทูลขอไว้ และด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงประทานโอกาสอีก


ครั้งที่หนักที่สุด ก็คือ เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาให้โมเสสส่งผู้สอดแนม 12 คน จากแต่ละเผ่าเข้าไปดูภูมิประเทศก่อนจะเข้าไปยึดครองคานาอัน “ไปตรวจดูแผ่นดินนั้นว่าเป็นอย่างไร ดีหรือเลว” (กันดารวิถี 13:18) ผ่านไป 14 วัน พวกเขากลับออกมา ขนเอา องุ่น มะกอก พวงโต ๆ แบกหามออกมาด้วย รายงานโมเสสว่า ดินแดนนั้นดีจริง “มีน้ำนมน้ำผึ้งไหล” แต่ 10 คนบอกว่า พวกเราสู้เขาไม่ได้หรอก เขาเหมือนยักษ์ เราเหมือนตั๊กแตน เขารบเก่ง เราไม่ชำนาญศึก มีกำลังมาก เขามีกำแพงสูงเราสู้เขาไม่ได้ เขาเป็นแผ่นดินกินคน แล้วก็ ขยายความขี้ขลาดออกไปท่ามกลางคนยิว “แล้วชุมนุมชนก็ร้องลั่นขึ้นมา ประชาชนร้องไห้ในคืนวันนั้น บรรดาคนอิสราเอล ได้บ่นว่าโมเสและอาโรน “ตายเสียที่อียิปต์หรือในถิ่นทุรกันดารดีกว่า พระเจ้านำเราเข้าไปในประเทศนี้ให้ตายด้วยคมดาบ คมกระบี่ทำไมเล่า ลูกเมียของเราต้องตกเป็นเหยื่อ ที่เราจะกลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ” แล้วเขาจะหาหัวหน้า พาพวกเขากลับ
ยังดีน่ะครับ ที่มีสองคน คือ คาเลบ และ โยชูวา มีความเห็นต่าง บอกให้ 10 คนเงียบ พูดว่า “ให้เราเข้าไปทันที ยึดเมืองนั้นเพราะเรามีกำลังสามารถเอาชัยชนะพวกเขาได้” ( กดว 13:30 )


นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งขึ้นเพราะคนยิว บ่น บ่น บ่น บ่น บ่น บ่น พระเจ้าอดทนมาตลอด เกือบประหารพวกเขามาคราวหนึ่ง เมื่อสร้างรูปวัวทองคำขึ้น คราวนี้ไม่บ่นคนเดียว ขยายเสียงบ่นไปทั่วค่าย พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่อดกลั้นพระทัย และอดทนที่สุด (โรม 2:4) แต่เสียงบ่น และความคิดลบ ไม่หยุดของเรา สามารถยั่วยุโทสะพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า “คนทั้งหลายที่ได้เห็นพระสิริของเรา ได้เห็นการอัศจรรย์สำคัญที่เราได้กระทำในอียิปต์ และในถิ่นทุรกันดาร และได้ทดลองเรามาตั้งสิบครั้ง และยังไม่ได้เชื่อฟังเสียงของเรา คนเหล่านี้จะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราสัญญาไว้กับปู่ย่าตายายของเขาฉันนั้น คนทั้งปวงที่สบประมาทเราจะไม่ได้เห็นแผ่นดินนั้นแม้แต่คนเดียว” (กดว 14:22-23)


แล้วทรงสัญญาให้คาเล็บกับโยชูวา ได้เข้าไป ครับ พระเจ้าให้พวกเขาวนเวียนในถิ่นทุรกันดารนานถึง 40 ปี จนรุ่นคิดลบ รุ่นขี้บ่น รุ่นโอดครวญ รุ่นขี้ขลาด รุ่นขี้แพ้ รุ่นจำได้แต่หม้อข้าวหม้อแกงอียิปต์ รุ่นลืมไปว่าตนเองเคยเป็นทาส รุ่นสมองมึนตึบ เหมือนคนเป็นอัลไซเมอร์กับประสบการณ์การเดินข้ามทะเลแดง รุ่นอยากกลับไปวิถีชีวิตเก่าท่าเดียว ตายหมดเกลี้ยง ครับ หมดเกลี้ยง ทรงโล๊ะทิ้งหมดในถิ่นทุรกันดาร ไม่เหลือสักคน ยกเว้นคาเล็บกับโยชูวา และรุ่นลูกที่เพิ่งเกิดมาใหม่ พระเจ้าสร้างรุ่นใหม่ที่กล้าหาญขึ้นมาแทนไงล่ะ


แทนที่บ่นกับปัญหา เราควรขอบพระคุณกับความรอด แทนที่โอดครวญกับความทุกข์ เราควรโทนากับพระพรเยอะแยะ แทนที่คิดลบ เราควรคิดบวก แทนที่ขี้ลาดเราควรมีความเชื่อ แทนที่ดูสถานการณ์ เราควรดูพระสัญญา แทนที่คิดว่าเราจะพ่ายแพ้ คิดว่าจะชนะ อย่างคาเล็บและโยชูวา


ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ



Visitor 256

 อ่านบทความย้อนหลัง