คำขวัญวันเด็ก

ศบ.

 

“พระคำเกิดผล ผู้คนชื่นชอบ นบนอบพ่อแม่”

              วันนี้เป็นวันเยาวชนของคริสตจักรเรา   ผมฝากคำขวัญ  ด้วยข้อความข้างต้น  และขอขยายความดังนี้

 

 1.พระคำเกิดผล   

 ก) เราต้องเรียนพระคัมภีร์  

 

        ผมเกิดในครอบครัวคริสเตียน  ตอนเป็นเด็กรวีฯ  ผมไปโบสถ์เบธเลเฮม  ของสภาคริสตจักร  ไปตั้งแต่เด็กจนผมเรียนชั้น ป. 4  ครูยินดีสอนรวีฯสนุก   ทุกวันอาทิตย์ กลับบ้านจะมี ภาพระบายสี เรื่องราวในพระคัมภีร์  ติดมือกลับบ้านมาฝากพ่อแม่เสมอ ห้องรวีฯ ที่ผมเรียน สมัยนั้นมีเด็กไม่มาก ไม่ถึง 10 คน  ย้ายมาอยู่ทีโบสถ์พระกิตติคุณสมบูรณ์  ติดบ้าน ผมและพี่น้องก็ได้เรียนพระคัมภีร์ต่อมา  คุณแม่ มักต้อนรับนักเทศน์  มาพักที่บ้าน และจัดประชุม  เรียนพระคัมภีร์  ทุกครั้งที่มีนักเทศน์มาพัก  คุณแม่ท่านเห็นความสำคัญของการรู้พระคัมภีร์  ท่านจึงแจกพระคัมภีร์ให้พวกเราในวันคริสตมาสเสมอ  พวกเรามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯแล้ว  ท่านมาพักคราวใด  ก็จะปลุกพวกเราให้ลุกขึ้นมาแต่เช้า แล้วท่านก็อ่านหนังสือสดุดีให้ฟัง  ยอมรับว่า  ผมจำที่ท่านอ่านไม่ได้เลย  จำได้อย่างเดียว  คือ ท่านอยากให้เราอ่านพระคัมภีร์  

 

        ผมอ่านพระคัมภีร์สะเปะสะปะอยู่เหมือนกัน  เมื่อไปเรียนพระคัมภีร์ที่โลซาน ผมอ่านพระคัมภีร์จบทั้งเล่มเป็นครั้งแรก  อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์เสียด้วย  มันไม่ได้เป็นหลักสูตรของโรงเรียน  แต่อ่านเอง เพราะอยากรู้มาก ๆ

 

   ข)    นำพระคำที่เรียน มาใช้

 

       พระเยซูตรัสว่า คนที่รู้พระวจนะ และไม่ประพฤติตามก็เหมือนคนสร้างบ้านบนดินทราย  พายุพัดมาเดี๋ยวก็ล่ม  เปาโลว่า  เรือนทีมิได้มีรากบนพระเยซู  แต่ไปมีรากบนไม้ฟางหญ้าแห้ง ไฟป่าโหมมา  ก็จะถูกเผาไหม้  เหลือแต่ตอ  ผมทำงานรับใช้มาหลายปี  เคยเห็นคนมารับเชื่อ มาโบสถ์ เป็นนักร้อง  ทำกิจกรรมในคริสตจักร ดูดี แต่พอพายุกระหน่ำมา  การทดลอง  ความยากลำบากมาเยือน  ทิ้งพระเจ้าไปก็มาก  เจาะลึกเข้าไปในชีวิตก็จะพบว่า  รากฐานพระวจนะไม่มี  เขาไม่มีประสบการณ์กับพระเจ้า  เพราะมิได้เอาพรวจนะที่เรียนมาปฏิบัติ  คนไทยเราว่า  “มีความรู้ท่วมหัว  แต่เอาตัวไม่รอด”

  

        คำขวัญที่ผมฝากลูกหลานเราปีนี้ข้อแรก คือ “พระคำเกิดผล” ครับ  ให้เกิดผลเพราะเราเอาสิ่งที่เรียนมากระทำตาม แล้วชีวิตเราจะมั่นคงและมีความสุข

 

2, ผู้คนชื่นชอบ

 

       “พระเยซูทรงเจริญวัยขึ้น  เป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวง” ( ลูกา 2:52)

     ก)   ก่อนอื่นต้องให้พระเจ้าชื่นชอบเรา

 

        “เป็นที่ชื่นชอบจำพาะพระเจ้า”  เรื่องกระทำตัวให้เป็นที่ชอบพอของคนอื่นนั้น   คนไทยเราเก่ง  และบางคนพยายามทำให้ตนเป็นที่รักของคนทุกคน  จึงใช้วิธีลอยช้อนตามเปียก  เป็นตุ๊กแก ไปอยู่ที่ไหนก็เปลี่ยนสีตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม เออ ออ ห่อหมก กับทุกคนทุกเรื่อง เพื่อให้คนชื่นชอบ โดยยึดคำพังเพยว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว  ต้องหลิ่วตาตาม”  แล้วผลที่ได้ คือ  พอคนจับได้ไล่ทัน  ชาวบ้านชาวช่องเขาก็รู้ว่า เราเป็นคนไม่มีจุดยืน  เหมือนปลาไหล  ไหลไปเรื่อย  นี่ไม่ใช่วิธีที่มีชีวิตให้คนชื่นชอบของพระคัมภีร์ วิธีของพระเยซูคือ  เราต้องเป็นที่ชอบจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าเสียก่อน  ( ลูกา 2:52) 

 

        นั่นแปลว่า เราต้องมีจุดยืนบนน้ำพระทัยชัดเจน เราต้องยึดมั่นบนพระวจนะ จะให้คนอื่นชื่นชอบเรา  เราต้องเป็นคนมีศีลธรรม ยกย่องพระเจ้า  ไม่


                                    


                                

 

โกหก  ไม่โลภ ไม่โกง ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ให้เกียรติเพศตรงกันข้าม  ไม่เห็นแก่ตัว  โรบินฮู๊ด ปล้นทรัพย์ไปแจกคนจน  เพื่อให้คนจนชอบ  จึงเข้าข่ายสอบตกตั้งแต่ต้น  ถามว่าพระเยซูมีคนไม่ชอบบ้างหรือไม่  มีครับ  พวกธรรมาจารย์ที่นาซาเร็ธ  บ้านเกิดของพระองค์ไม่ชอบพระองค์  จนเกือบจะผลักพระองค์ตกหน้าผา   เพราะพระเยซูพูดความจริงกับพวกเขา( ลูกา 4:16-30)  แต่พระองค์ทรงมีจุดยืนชัดเจน

 

คนที่มองอะไรผิวเผินย่อมไม่ชอบ แต่ลึกลงไปในใจ  ต้องยอมรับว่า  พระองค์ถูก  และจะชื่นชอบพระองค์ในที่สุด

        

       ข) เราต้องทำการดี 

 

       พระเยซูเป็นที่ชอบต่อหน้าคนทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงกอปรการดี  เสด็จไปทำคุณประโยชน์  (กิจการ 10:38) พระองค์รักษาโรคคนเจ็บ เล้าโลมใจหญิงม่าย  ต้อนรับคนถูกทอดทิ้ง เปิดตาคนตาบอด เลี้ยงอาหารผู้หิวโหย ปลดปล่อยคนที่ถูกมารเบียดเบียน  สั่งสอนคนไม่รู้ซ้ายไม่รู้ขวา  อวยพรเด็ก ๆ  ทิโมธี  เป็นอนุชนที่มีน้ำใจ  ใส่ใจในทุกข์สุขของพี่น้อง

 

ผมเดาว่า เขาคงจะช่วยบริการคนสูงอายุ  ช่วยคนเจ็บ  เยี่ยมเยียนคนป่วย  สงเคราะห์คนจน  หนุนใจคนท้อ ทำโดยไม่หวังได้หน้า  ไม่หวังได้ชื่อเสียงอะไร  แต่ทำเพราะรักพวกเขา รักพระเยซู (ฟป 2:20-22)  เขาจึงได้เป็นอนุชนที่มีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้อง (กิจการ 16:2) 

 

        การเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน  จึงเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ เกิด และเกิดโดยเราเอาแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ และคนในพระคัมภีร์  ทำการดีแก่คนทั้งปวง  เยาวชนสมควรใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์  มีน้ำใจ  ขยันขันแข็งช่วยงานในบ้าน  ล้างจานชาม กวาดบ้านถูบ้าน บูรณะซ่อมแซมบ้าน  ช่วยเพื่อนอนุชนในโบสถ์  ประคองคนสูงอายุ บริการเพื่อนในโรงเรียน  หรือชุมชนของเรา  โดยไม่ออกนอกทางของพระเจ้า  ทำด้วยความเต็มใจ

 

 

3. นบนอบพ่อแม่

 

        เปาโลสอนว่า “ฝ่ายบุตรจงนบนอบ เชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้น  เป็นการถูก”  (เอเฟซัส 6:1)   ในบัญญัติ  10  ประการของโมเสส  ข้อที่ 5 กล่าวว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า  เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน  ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่เจ้า” (อพยพ 20:12)  

 

        ไม่มีใครในโลกเกิดมาโดยไม่มีพ่อแม่  และไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่ไม่อยากให้ของดีแก่ลูกของตน (ลูกา 11:13)  พระเจ้าทรงประทานอำนาจให้พ่อแม่  เป็นผู้ปกครองดูแลลูก  ไม่มีลูกคนไหน ไม่เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่  เพราะเราช่วยตนเองไม่ได้ตั้งแต่แบเบาะ  การยกย่องให้เกียรติ  เชื่อฟังท่าน  จึงควรเป็นเรื่องง่ายดายที่สุด เพราะเราสัมผัสได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น พระเยซูเองก็อยู่ภายใต้การปกครองของโยเซฟมารีย์  ที่นาซาเร็ธ ตั้งแต่เป็นเด็กมา  (ลูกา 2:51) 

 

       โลกวันนี้เปลี่ยนไปมาก  และคำสอนผิด ๆ ก็ป้อนเข้าสู่สมองเด็กทางโลกโซเชียล   การเคารพให้เกียรติยอมฟังผู้ใหญ่กำลังจืดจางลงไป โดยสอนว่า  เสรีภาพ คือ การที่เรามีอิสระทำตามความคิดเห็นของตนเอง  เมื่อเรายอมฟังพ่อแม่ ซึ่งง่ายที่สุด ในบ้านไม่ได้  เราก็ยอมฟังครูในโรงเรียนยาก  ยอมฟังเจ้านายในบริษัทไม่เป็น ยอมฟังศิษยาภิบาลไม่ได้  แล้วเราก็จะยอมอยู่ใต้ผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองไม่ได้ด้วย  ผลที่สุด เรากลายเป็นคนที่ใครติใครเตือนไม่ได้   นี่ไม่ใช่วิธีของพระคัมภีร์  พระเยซูไม่เคยสอนสาวกพระองค์ให้ดื้อผู้มีอำนาจที่พระเจ้าแต่งตั้ง  แม้เขาไม่มีชีวิตเป็นแบบอย่างอันดี  พระองค์ก็ยังสอนให้สาวกเชื่อฟัง  “พวกธรรมาจารย์  กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส  เหตุฉะนั้น  ทุกสิ่งที่เขาสั่งสอนพวกท่าน  จงถือประพฤติตาม  เว้นแต่การประพฤติของเขา  อย่าได้ทำตามเลย  เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน  แต่เขาเองหาได้ทำตามไม่” (มัทธิว 23:2) 

 

       เยาวชนที่ดีวันนี้  ต้องนบนอบให้เกียรติ  เชื่อฟังพ่อแม่   โดยไม่มีข้ออ้างว่า ท่านเป็นคนแบบไหน  ตราบเท่าที่ท่านสอนสิ่งที่ถูกต้องดีงาม  ไม่อ้างว่าท่านพูดจาไพเราะหรือไม่   ไม่อ้างว่า ท่านมีการศึกษามากหรือน้อย  เชื่อเถอะ ท่านจะไปดีมาดี  และมีอายุยืนยาว (เอเฟซัส 6:3)

 

      ก็ขอฝากคำขวัญนี้ไว้กับลูกหลานของเราในปีนี้  “พระคำเกิดผล ผู้คนชื่นชอบ นบนอบพ่อแม่” 

 

     สุขสันต์วันเด็กครับ     

 



Visitor 305

 อ่านบทความย้อนหลัง