แกร่งดั่งสร้างบ้านบนศิลา


ศบ.

อาทิตย์ที่แล้ว ผมพูดเรื่อง “ทางแห่งพระพร” จากสดุดี บทที่ 1 ว่า คนที่ยำเกรงพระเจ้า จะรุ่งเรือง ได้พร มีผล ดั่งต้นไม้ใกล้ธารน้ำ วันนี้ ขอพูดเรื่อง ความ แข็งแกร่ง มั่นคง ของผู้เชื่อ จากคำอุปมาของพระเยซู ( มัทธิว 7:24-27)
มัดธิว บทที่ 5 ถึงบทที่ 8 เป็นคำเทศนาบนภูเขา พูดเรื่องเดียวกัน กับสดุดี บทที่ 1 คือ “เรื่องคนที่จะได้รับพร” มีคนมาฟังล้นหลาม มากแค่ไหน ดูได้จากตอนพระเยซู เลี้ยงพวกเขาด้วยขนมปัง 5 ก้อน ปลา 2 ตัว คนมาฟังพระองค์วันนั้น นับแต่ผู้ชายได้ 5,000 คน นับผู้หญิงและเด็กด้วย ก็มากเกินหมื่นแน่นอน สิ่งที่พระเยซูสั่งสอนได้แก่ เรื่อง ท่าทีของใจ ทรงสอนว่า เราเป็นเกลือ เป็นแสงสว่าง ที่ช่วยคนในสังคม ทรงสอนว่า อย่ากระวนกระวายใจ อย่าโกรธอย่าเกลียดชังใคร อย่ากล่าวโทษคนอื่น อย่าสาบาน ทรงสอนให้เรารักศัตรู การอธิษฐาน การทำทาน หรือ การถือศีลอด “อย่าทำเพื่อเอาหน้า” เรื่องการสั่งสมทรัพย์ในสวรรค์ ครับ! หลังจากสอนเรื่องต่าง ๆ แล้ว ก็ทรงปิดท้ายว่า “ฟังแล้วต้องทำตาม จึงจะมั่นคง”

 


พระองค์ ทรงเปรียบเทียบ คน 2 ประเภท
(1) ได้ยินได้ฟังแล้วทำตาม เขาจะแข็งแกร่ง ดั่งสร้างบ้านบนศิลา
(2) ได้ยินได้ฟัง แล้วเฉยเมย ไม่ทำตาม เขาจะอ่อนแอ เปราะบาง เหมือน สร้างบ้านบนดินทราย


คนทั้งสองประเภทนี้ มีอะไร ๆ ที่เหมือนกัน อยู่หลายอย่าง นั่นคือ ทั้ง 2 ประเภท
เขามาหาพระเยซู เหมือนกัน
“คนที่มาหาเรา” (ลูกา 6:47) อันนี้ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี ถ้าเป็นวันนี้ ก็คือคนที่มาโบสถ์ มาเข้าชั้นเรียน อ่านพระคัมภีร์ อันเป็น สิ่งจำเป็นเบื้องต้น ที่หลายคนไม่เลือกทำ ซึ่งน่าเสียดาย “ความเชื่อเกิดขึ้นเพราะการได้ยิน” พระคัมภีร์ เป็นพระวจนะของพระเจ้า เราควรเป็นเจ้าของพระคัมภีร์ เราควรอ่าน ตั้งใจอ่านให้จบเล่ม คนทั้งสองประเภทเขามาหาพระเยซูเหมือนกัน


2. เข้าใจสิ่งพระเยซูสอนเหมือนกัน
“คนที่ฟังคำของเรา” (ลูกา 6:47) นี่ก็ต้องถือว่า น่าชมเชยอีก เพราะหลายคนสอบตกเรื่องนี้ ฟังแต่ไม่เข้าใจ ซึ่งหากเราได้ฟังพระวจนะ เราไม่ควรฟังผาด ๆ ผมเคยสั่งให้น้องบางคน ไปทำงาน ก่อนไปก็ซักไซร้ไล่เรียงกันแล้ว ว่าเข้าใจที่สั่งหรือไม่เขาก็รับ “ครับ ๆ” แต่พอไปทำสิ่งที่สั่งให้ไปทำ ก็พบว่า เขาไม่รู้เรื่อง ในชั้นเรียนพระคัมภีร์ ผมเปิดโอกาสให้ นักเรียนซักถามเสมอ คนไทย ส่วนมาก ไม่ซักไม่ถาม ทั้ง ๆที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ น่าเสียดาย เขาจึงไม่พัฒนาอะไร เรียกได้ว่า เขามาฟัง แต่ไม่ได้ยิน คน 2 ประเภทที่พระเยซูตรัสถึง เขาสอบผ่านในเรื่องนี้ คือ เขาฟัง และได้ยิน”
3. เขาอาจตื่นเต้นกับ ความเข้าใจที่พระองค์ทรงสั่งสอนเสียด้วย
เหมือนคำอุปมาของพรพเยซู เมล็ดพืชที่ตกในดิน มีหินมากดินน้อย “รับทันที ด้วยความปรีดี” (มธ 13:20) และนี่คือ สิ่งที่คนไม่ยอม มาหาพระเยซู ไม่อ่านพระคัมภีร์ ไม่เคยสัมผัส ต่างจากคนสองประเภทสัมผัส นั่นคือ “การตื่นเต้น กับความจริงที่ตนรู้”

 

ในคำอุปมาของพระเยซู คน 2 ประเภทนี้แตกต่างกัน
1) คนที่มีปัญญา
คือ คนที่ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว เขาไม่รีรอ เขาทำตามทีพระเยซู สอนทันที ถ้าเขาโกรธใคร ทำผิดกับใคร เขาก็ลุกขึ้นไปหาคนคนนั้น ขอโทษเขา เขาเป็นเหมือนศักเคียส เคยโกงใคร เขาจัดการเอาเงินไปคืนให้คนที่เขาโกง สี่เท่า (ลูกา 19:8) พอเขาเรียนรู้ว่า วันสะบาโต เป็นวันบริสุทธิ์ เขาก็สั่งปิดที่ทำงานของเขาในวันอาทิตย์ รัชการ ของกษัตริย์ อาหัส เคยถวายเครื่องบูชาแก่รูปเคารพ (2 พศด 28:3-4) พอมาถึงยุคของ เฮเซคียาห์ ตนรู้ว่า พระราชบิดา ของพระองค์ทำผิด ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เฮเซคียาห์ มิได้ ปล่อยเลยตามเลย ลอยช้อนตามเปียก จัดการรื้อถอน และทะนุบำรุงพระวิหารทันที (2 พศด 29:3-36)
พระเยซูทรงเรียกคนประเภทนี้ว่า ผู้มีปัญญา เหมือนคนสร้างบ้าน เขาขุดลึกลงไป และตั้งรากบนศิลา (ลูกา 6:48) การสร้างบ้านในกรุงเทพฯ นี่ เวลาเขาสร้างตึกสูง เขาลงเข็มไปถึงชั้นหิน คนที่มีรากชีวิตเขาจะแข็งแกร่ง มั่นคง คนที่ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว เขามิได้เก็บมันไว้ที่มันสมองเท่านั้น เขานำมาทำเป็นภาคปฏิบัติ เขาจึงมีประสบการณ์ แน่นอน เขาจะรู้ว่าพระเจ้าเที่ยงแท้ พระสัญญาเป็นความจริง และสิ่งที่เขาทำก็เกิดผลดี ความศรัทธาในพระเจ้ายิ่งทวีขึ้น ยิ่งวางใจพระเจ้า เขายิ่งพบประสบการณ์ว่า พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ ทรงรักทรงสัตย์ซื่อ เห็นผล พิสูจน์ได้

2. คนที่ไร้ปัญญา
เขาฟัง เขาเข้าใจ เขาตื่นเต้น แต่เขามิได้ทำตาม เขาเก็บดองความรู้ไว้เต็มสมอง อาจเป็นคนอวดรู้เสียด้วย แต่เขามิได้ประพฤติ สิ่งที่ตนเองเรียนรู้เลย รู้ว่าตนต้องไปขอโทษใครที่ตนกระทำผิด ก็ไม่ไป รู้ว่าตนต้องยกโทษคนที่เข้ามาขอโทษ ก็ไม่ยกโทษให้ รู้ว่าพระเจ้าประทานตะลัน ความสามารถ ที่จะต้องนำไปทำกำไร ให้แผ่นดินพระเจ้า แต่ก็ฝังดินไว้ มิได้ทำ เขาเข้าใจพระพรของสิบลด แต่ ตนก็ไม่ถวายอยู่ดี รู้ว่าตนต้องมีเวลาเข้าเฝ้า แต่ตื่นเช้ามา ก็ไปฟังข่าวชาวบ้านแทน รู้ว่าสะบาโต เป็นวันที่จะยกให้พระเจ้า แต่ก็นัดลูกค้ามาตกลงธุรกิจวันอาทิตย์ รู้ว่า วันอาทิตย์ ควรไปโบสถ์ เพื่อฟังพระคำ แต่พาลูกไปเที่ยววันขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขารู้แต่ไม่ทำตามที่รู้
พระเยซู ทรงเรียกคนเช่นนี้ ว่า ผู้ไร้ปัญญา เหมือนคนสร้างบ้านบนดินทราย ไม่ก่อราก ชีวิตเขาจะง่อนแง่น ไม่มั่นคง เขารู้แค่ทฤษฎี แต่ในชีวิตจริงเขาไม่เคยสัมผัส เขาอาจเข้าใจพระสัญญา ว่าพระเจ้าจะอวยพร เมื่อเขาถวายสิบลด แต่เขาเองไม่เคยถวาย เขาไม่มีประสบการณ์พระพรนั้น เขาจะรู้เท่าที่คนอื่น มาเล่าคำพยานให้ฟัง เขาจึงไม่รู้จัก “พระเยโฮวาห์ ยีเร” ด้วยตนเอง รากไม่มี

คนทั้งสองประเภทนี้ ดูภายนอกเหมือนกัน ร้องเพลงนมัสการเหมือนกัน มาโบสถ์เหมือนกัน อาจพูดคุย ถกกันเรื่องความรู้พระวจนะได้เหมือนกัน ในยามปกติพิสูจน์ได้ยาก บ้านสองหลัง หลังหนึ่งปลูกบนทราย อีกหลังปลูกบนศิลา ดูภายนอก เหมือนกันเป๊ะ พิสูจน์ความแข็งแกร่งไม่ได้ในยามปกติ

 

 

เมื่อพายุพัดมา
ก็ถึงคราวชีวิตเรา ถูกพิสูจน์ความแข็งแกร่ง
พายุที่พัดมา คงไม่หมายถึง ลมพายุ หรือน้ำท่วมที่ภาคอีสานและภาคตะวันออกวันนี้ แต่หมายถึงพายุชีวิต มันจะมา มันจะถล่มเรา “กระแสน้ำไหลเชี่ยว กระทบตึกนั้น ที่สร้างบนทราย” ผู้ฟังที่ไม่ประพฤติ จะทานกระแสน้ำเชี่ยวกราก และพายุที่กระหน่ำไม่ได้ พายุอาจได้แก่
(1) วิกฤติการเงิน (2)ความเจ็บป่วย (3)คนรักจากไป (4)ลูกดื้อ (5) ตกงาน (6) ความเกลียดชัง (7) การข่มเหง (8) ถูกสั่งรื้อถอนบ้าน (9) การดูหมิ่นของคน (10) ความขัดแย้งแม่ผัวลูกสะใภ้ (11)การถูกโกง (12) คนเข้าใจเราผิด (13)อุบัติเหตุ (14)ค่าเงินตก (15)ของหาย (13)ฟ้าแล้งฝน (14) น้ำท่วม (15) ถูกฟ้องร้องที่ไม่เป็นธรรม (16) เพื่อนบ้านกลั่นแกล้ง (17) อกหัก (18) การทดลองให้ทำบาป ฯลฯ


เรื่องเหล่านี้คือพายุ ที่พัดมา พระเยซูตรัสว่า บ้านสองหลังนี้ ถูกพายุเดียวกัน กระแสน้ำไหลเชี่ยวอันเดียวกัน ในสดุดี บทที่ 1 ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ จะไม่โค่น ไม่ล้ม แต่รากจะยิ่งชอนไชลึกขึ้น พายุจะทำให้ผู้ที่ฟังและปฏิบัติตาม ยิ่งพึ่งพระเจ้า ยิ่งศรัทธาในพระองค์ยิ่งขึ้น
ต่างจากต้นไม้ปลูกห่างน้ำ ตึกที่สร้างบนทราย ไม่มีราก ฟังแต่ไม่ทำตาม ไม่มีประสบการณ์ เขาจะไม่มั่นคง เขาจะทาน พายุไม่ได้ เหมือนบ้านสร้างบนทราย จะพังลงทันที “ความพินาศของตึกนั้น ก็ใหญ่ยิ่งนัก”
ถ้าจะถามว่า ทำไมไม่วางราก ทำไมไม่ลงมือปฏิบัติตามที่ตนรู้ สาเหตุอาจมาจาก ความขี้เกียจ ไม่อยากเรียนไม่อยากรู้ แลไม่เห็นอันตราย เฉยเมย ประมาท ดื้อดึง เหมือนคนสมัยโนอาห์ เมื่อถูกการโจมตี เขาจะถดถอย น้อยอกน้อยใจ โวยวาย วิ่งไปหาคนโน่นคนนี่ ขมขื่น ซัดทอดคนอื่น ท้อถอย รามือจาการรับใช้ จนถึงการละทิ้งพระเจ้า อย่างน่าเสียดาย เขาเป็นดั่งแกลบที่ลมพัดปลิวฟุ้งไป

 

ยังไม่สาย
หากเราผิดพลาดในเรื่องนี้ ไม่สายที่เราจะเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าโดยการลงมือทำสิ่งที่เรารู้ว่าถูก เรื่องต่อเรื่อง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง อย่าคิดว่าไม่เป็นไร เมื่อใดก็ได้ เราไม่ทราบว่าพายุจะมาถล่มเมื่อใด เราต้องสร้างชีวิตที่แกร่ง ทนทาน โดยหยั่งรากบนพระเยซู และพระวจนะ บูรณะแท่นบูชา โดยการเข้าเฝ้าพระเจ้าทุกวัน กระทำตามสิ่งที่เรารู้น่ะครับ แล้วเราจะมั่นคง ทวียิ่งๆ ขึ้น
ผมรับใช้พระเจ้ามาหลายปี ผมเห็นทั้งคนที่สร้างบ้านบนทราย ไม่สนใจพระคำ ไม่เอาจริงกับพระเจ้า และได้เห็นการถดถอยที่เกิดขึ้นกับเขา เมื่อพบวิกฤติ ขณะเดียวกันผมก็เห็นคนที่ สร้างบ้านบนศิลา เขาแข็งแรง พายุชีวิตที่โหมกระหน่ำเข้ามาหาเขา ยิ่งทำให้เขามั่นคงในพระเจ้ายิ่งขึ้น


ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ




Visitor 1361

 อ่านบทความย้อนหลัง