พระเยซูสอนเรื่องการรับใช้


ศบ.
แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้”
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห์น 6:25-33)
ใกล้ถึงการประชุมองค์กร และงานฉลองโบสถ์ครบ 50 ปีแล้ว ดีใจที่พี่น้องช่วยกันมาก วันนี้จึงขอพูดเรื่องการรับใช้พระเจ้าน่ะครับ
ถ้ามีใครสักคนหนึ่งมาถามผมว่า “ผมจะรับใช้พระเจ้าได้อย่างไร?” ผมต้องดีใจ เพราะการที่มีพี่น้องมาขันอาสารับใช้พระเจ้า ย่อมเป็นเหตุให้แผ่นดินของพระเจ้าเจริญเติบโตเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ส่วนจะรับใช้พระเจ้าวิธีไหนอย่างไร ผมก็คงจะแนะนำตามปัญญา ภูมิรู้ที่ผมมี แต่ผมคงไม่คิดจะตอบคำถามนี้อย่างพระเยซู คือตอบเขาว่า “งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา” พูดง่ายๆ การรับใช้พระเจ้าคือการวางใจพระเจ้า
ทำไมพระเยซูตรัสตอบเขาเช่นนั้น
ให้เรามาดูเบื้องหลังเรื่องนี้ซะหน่อย
ช่วงนั้นพระเยซูทรงประกาศพระกิตติคุณ และสั่งสอนประชาชนที่แคว้นเดคาบุรี ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาปกาลิลี ผู้คนเป็นอันมากติดตามพระองค์ไป เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นหมายสำคัญที่พระองค์ทรงกระทำแก่บรรดาคนป่วย (ยอห์น 6:2) ผมเชื่อว่าผู้คนที่ชอบคำสอนของพระองค์ก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนมาก ก็ชอบที่พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ เช่น เปิดตาคนตาบอด รักษาคนหูหนวก เปิดปากคนใบ้ ช่วยให้คง่อยเดินได้ หรือคนโรคเรื้อนหายสะอาด ผมเชื่อว่า การอัศจรรย์นอกจากเป็นการช่วยเหลือคนแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่พระกิตติคุณ นี่เป็นเหตุผลประการหนึ่งในพระมหาบัญชาของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “ท่านจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐ ...มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญจะเกิดขึ้นที่นั่น เขาจะขับผีออก ...ถ้าเขาวางมือบนคนป่วย คนเจ็บจะหายโรค”

ผมจะขอเล่าต่อ
ช่วงนั้นผู้คนมาฟังพระเยซูเนืองแน่นมาก นับทั้งชายทั้งหญิงคงมีมากกว่าหมื่นคน เดคาบุรีที่พระองค์สั่งสอนเป็นถิ่นกันดาร ไม่ใช่เมือง ไม่มีร้านค้า ไม่มีแผงลอย คนที่มาฟังพระเยซูก็คงคดข้าวห่อจากบ้าน หรือซื้ออาหารจากในเมืองมากิน พอตกตอนเย็น อาหารหมด ประชาชนที่มาฟังพระองค์ก็หิว สาวกของพระองค์ก็แนะนำให้พระเยซูส่งพวกเขากลับไปตามบ้านเรือนไร่นาแถบนั้นเพื่อไปหาที่พักนอน และอาหารรับประทาน แต่พระเยซูกลับบอกให้พวกสาวกเลี้ยงอาหารพวกเขา


ผมเล่าให้สั้นลงนะครับ
วันนั้นพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์เลี้ยงคนนับหมื่น ด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว ผู้คนตื่นเต้นมาก ถึงขนาดอยากตั้งพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ ( ยอห์น 6:15) พระองค์ไปที่ไหน พวกเขาก็ตามไปที่นั่น เหมือนหนุ่มสาวติดดารานักร้องลูกทุ่ง คู่มือพระคัมภีร์หลายเล่ม เรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็นช่วง ประชาชนเทคะแนนนิยมให้พระเยซู พระองค์คือพระเอก พระองค์คืออัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยความยากจนค่นแค้นของพวกเขา กระแส “พระเยซูฟีเวอร์” กระจายกันไปทั่วกาลิลี ถ้าเป็นวันนนี้ ก็คง แชร์กันในไลน์ และเฟสบุ๊คกระจุยกระจาย คนต้องมากดlike นับแสนนับล้าน พวกสาวกของพระเยซูมีส่วนในการอัศจรรย์ครั้งนี้ เพราะพวกเขาคือคนที่รับขนมปังจากพระเยซูไปแจกผู้คน และขนมปังก็เพิ่มพูนอย่างอัศจรรย์ อย่างนี้ใครหรือไม่อยากสมัครเข้าอยู่ในทีม หรือมาร่วมวง ถ้ามีรถบัสตระเวนไปอย่างวงดนตรีดังๆ ปัจจุบัน ก็คงจะขอสมัครติดสอยห้อยตามไปด้วย


ก็มีหนุ่มๆสาวๆอยู่ชุดหนึ่ง พากันมาถามพระเยซู ทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้” (ยอห์น 6:28)


เขาคงจะเปรียบเทียบตัวเองกับพวกเหล่าสาวกที่แจกขนมปัง แล้วพระเยซูก็รัสตอบพวกเขาเข้าเป้าทีเดียวว่า “จะเป็นผู้รับใช้ ต้องเชื่อพระเจ้า” ซึ่งผมจะขอขยายความดังนี้


(1) ใครก็ตามที่จะรับใช้พระเจ้า ต้องเป็นผู้เชื่อเสียก่อน
พระเจ้ามิได้ใช้ผู้ไม่เชื่อเป็นผู้รับใช้ สาวกไม่ใช่คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงใช้คนที่เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่ ในชั้นเรียนผู้เชื่อใหม่ ผมพูดเสมอว่า คนที่บังเกิดใหม่เป็นคริสเตียน คือคนที่สำนึกผิด กลับใจใหม่จากชีวิตเก่าในอดีตของเรา เดิมเคยเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้พร้อมที่จะมีเป้าหมายใหม่ คือรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจสุดกำลังความคิด รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง คือคนที่วางใจในการทรงไถ่โทษบาปของพระองค์ที่ไม้กางเขน และพร้อมติดตามพระองค์ต่อไปตลอดชีวิต ผมคิดว่า คนเหล่านั้นที่มาถามพระเยซูเรื่องการเป็นผู้รับใช้ ยังไม่ได้เชื่อพระเยซู เพราะคำถามถัดมาของเขาคือ “ถ้าเช่นนั้น ท่านจะทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้เห็นและวางใจในท่าน ท่านกระทำอะไรบ้าง” (ยอห์น 6:30) แสดงว่า สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำมาพวกเขาก็ยังเห็นว่ามีไม่พอให้ศรัทธา เราต้องมีความเชื่อและศรัทธา พระองค์จึงจะทรงใช้เรา

 

 

 

(2) ผู้รับใช้ต้องปรารถนาช่วยคน
สายตาของพวกเขาอยู่ที่ การอัศจรรย์เพื่อให้มีอาหารมาเลี้ยงปากท้อง เขาถามพระเยซูว่า “ท่านได้ทำอะไรบ้าง บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร” (ยอห์น 6:30-31) พวกเขาคงวาดภาพว่า พระเยซูจะเลี้ยงอาหารพวกเขาทุกวันๆ เหมือนสมัยโมเสส และคิดว่าต่อไปพวกเขาคงจะสบาย ไม่อดหยากปากแห้งอีกต่อไป ถ้าเป็นทุกวันนี้ ก็คงคิดว่าเจิ “ชามข้าว” เข้าแล้วซี พระเยซูให้สาวกช่วยประชาชน ไม่ใช่ช่วยตัวสาวกเอง พร้อมเป็นคนของประชาชน ใจที่อยากให้เขาอิ่มหนำ ใจที่อยากให้เขามีความสุข เป็นใจของสาวก ตามเรื่อง หลังจากพระเยซูเลี้ยงคนด้วยขนมปังห้าก้อนปลาสองตัวแล้ว พวกสาวกเก็บเศษได้ถึง 12 กระบุง บ่างคนบอกว่า นี่คือรางวัลของพวกสาวก แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ ให้พระเจ้าก่อน ช่วยคนก่อนแล้วรางวัลจะตามมา ไม่ใช่มุ่งหารางวัลสำหรับตน รางวัลเป็นของแถมต่างหาก


(3) ผู้ปรารถนารับใช้ ต้องมีพระเยซูเป็นเจ้านาย
เรามิได้รับใช้ตามใจของเราเอง แต่รับใช้พระองค์ตามพระบัญชาของพระองค์
ในสมัยพระคัมภีร์ ทาส คือผู้ปรนนิบัตินาย เขาจะทำตามใจของนายโดยไม่มีเงื่อนไข ตลอดระยะเวลาหลายปี เราคือผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ใจของเราเองโดยไม่ฟังใคร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ เรามีพระองค์เป็นผู้มานั่งบนบัลลังก์ใจของเรา และเราเองก็กระเถิบลงไปนั่งข้างล่าง คอยรับคำสั่ง พระองค์ว่าอย่างไร เราว่าอย่างนั้น เราเชื่อถือศรัทธาในพระองค์ เราจึงเป็นทาสสมัครที่รับคำสั่งด้วยความยินดี ที่บ้านคานา พระองค์สั่งให้เอาน้ำเปล่าไปเสิร์ฟแขก พวกเขาก็ทำ ในถิ่นทุรกันดาร พระเยซูให้พวกเขาเอาขนมปังไปแจก สาวกก็เอาไปแจก แจกได้อย่างไรเพราะมันมีน้อยนิด วางใจในพระองค์ยังไงล่ะ นี่คือบทบาทคนใช้ พระเยซูเองก็มีพระบิดาเป็นนาย พระองค์มิทรงทำอะไรตามประสงค์ของพระองค์เอง แต่ตามพระประสงค์ของพระบิดา ทั้งยังตรัสด้วยว่า พระประสงค์ของพระบิดา คือ ดูแลลูกแกะ ไม่ให้หายไปสักคนเดียว ( ยอห์น 6:39)


( 4) ผู้รับใช้ต้องไว้วางใจพระองค์ ทุกสิ่งตลอดไป
พระเยซูทรงเปรียบเทียบพระองค์เองกับ อาหารจากสวรรค์ที่ผู้เชื่อทั้งหลายต้องกินดื่ม ตลอดไป
( ยอห์น 6:47-58) พระเจ้าให้เรารับใช้พระองค์ โดยการประกาศพระกิตติคุณ คือนำคนมาเป็นสาวก ให้เรานำคนมาเชื่อและให้เรารับบัพติสมา ปั้นสร้างเขาเป็นสาวกด้วยพระวจนะคำที่พระเยซูทรงสอนเรา (มัทธิว 28:19-20) ในพระกายพระคริสต์ คือคริสตจักร ให้เราเลี้ยงดูลูกแกะของพระองค์ (ยอห์น 6:39) รับใช้พระองค์โดยพึ่งในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ (ลูกา 24:39) รับใช้พระองค์ร่วมกันด้วยความสามารถที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เรา (1 โครินธ์ 12: 27) ให้เรารับใช้พระองค์โดย เมื่อรับใช้ก็ให้เราพึ่งอาศัยพระองค์ โดยฟังเสียงของพระวิญญาณ ในรายละเอียดต่าง ๆ เปาโลคิดจะไปประกาศในแคว้นเอเชีย พระวิญญาณทรงห้ามท่าน ท่านจะขึ้นไปประกาศที่บิธีเนีย พระวิญญาณก็ห้ามอีก ท่านไปพักที่เมืองโตรอัส กลางคืนท่านรับนิมิต มีชาวมาซิโดเนียขอให้ไปช่วย ท่านจึงข้ามไปมาซิโดเนีย และงานก็เกิดผลมาก ในการทำงานพระเจ้าเราต้องวางใจพระองค์ โดยฟังพระดำรัสสั่งของพระวิญญาณเสมอ สนิทสนมกับพระองค์ ให้พระดำริของพระองค์ชุ่มโชกในเรา เหมือนเลือดเนื้อของเราเอง เราจะได้คิดอย่างพระองค์ มีอารมณ์อย่างพระองค์
และรับใช้ตลอดไปเสียด้วย ไม่ใช่ ทำอะไรให้พระองค์ แป๊บ ๆ แล้วหายหน้าไป แต่พร้อมอุทิศตนให้พระองค์ชั่วชีวิต ไม่ใช่เฉพาะวันอาทิตย์ หรือบางช่วงเวลา แต่ทุกวันทุกเวลา ไม่ใช่ถามพระองค์เฉพาะเรื่อง ตามใจตน แต่เงี่ยหูฟังพระองค์ทุก ๆ เรื่อง พระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตนเอง แบกกางเขนของตน ทุกวัน และเดินตามเรามา” “แกะของเรา ฟังเสียงของเรา”พระเยซูเดินนำหน้า เราเดินตาม ทุกวัน แปลว่า ทุกวัน ตราบเท่าทีมีลมหายใจ จนจากโลกนี้ไปน่ะครับ
ขอพระเจ้าอวยพร

 



Visitor 1793

 อ่านบทความย้อนหลัง