|
ร้องเพลงกลางคืน
ศบ. “แต่ไม่มีสักคนพูดว่า ‘พระเจ้าผู้ทรงสร้างข้าพเจ้า ผู้ทรงประทานเพลงในเวลากลางคืน ทรงอยู่ที่ไหน” (โยบ 35:10) เอลีฮู ปราชญ์ที่พระเจ้าใช้ ชี้ให้โยบและ เพื่อน 3 คนเห็นว่า “แม้เขาทุกข์ ... แต่ไม่มีใครสักคนถามว่า “พระเจ้าผู้ทรงสร้างข้าพเจ้า ผู้ประทานเพลงในเวลากลางคืน ทรงอยู่ที่ไหน?” พระธรรมโยบ เริ่มขึ้นด้วยเรื่องภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับโยบ อันเนื่องจากซาตาน ขึ้นไปท้าท้ายพระเจ้าในสวรรค์ ไม่เชื่อว่าโยบเป็นคริสเตียนเพราะรักพระเจ้า แต่เชื่อว่าโยบนับถือพระเจ้าเพราะได้พร คือมั่งคั่งอุดม ขณะโยบนั่งอยู่บนกองขี้เถ้า เป็นฝีทั้งตัว เพื่อน 3 คนของโยบ ก็มาซ้ำเติมว่า ที่ผจญทุกข์อยู่นี้ ก็เพราะโยบทำผิด ฝ่ายโยบเองก็ ป้องปัด ไม่รับ การโจมตีของเพื่อนทั้ง 3 คน เป็นพัลวัน ตอบโต้กันยาว จนที่สุด เอลีฮู ปราชญ์หนุ่ม ก็เข้ามาชี้แจงให้ฟัง ซึ่งมีอยู่หลายประเด็น แต่มีอยู่สิ่งที่ผมจากพูดถึง ในที่นี้ นั่นคือ โยบ ต้องใฝ่หาพระเจ้าผู้ ให้เขาร้องเพลงยามราตรีได้ เอลีฮู ประหลาดใจว่า โยบพบทุกข์อย่างนี้ แต่เขามิได้เสาะหา มิได้ร้องทูลพระเจ้า ผู้ทรงสร้างเขา ผู้ประทานเพลงในเวลากลางคืน คำพูดของเอลีฮู บอกความจริงแก่เราหลายประการ
1. เราร้องเพลงเมื่อ มีความสุข ปกติคนเราร้องเพลงกลางวัน ทำงานไปร้องเพลงไป ขับรถไปร้องเพลงไป เราฮัมเพลง เวลาเรามีความสุข แสดงให้เห็นอารมณ์อันชื่นมื่น เพราะหวังว่างานนั้นจะประสบความสำเร็จ เมื่อดาวิดไปเลี้ยงแกะที่ทุ่งนา ดาวิดร้องเพลงดีดพิณ เมื่อดาวิด นำหีบพันธสัญญา จากบ้านของโอเบดเอโดม มายังกรุงเยรูซาเล็ม ดาวิด และคนอิสราเอล โห่ร้อง เป่าเขาสัตว์ ทั้งกระโดด โลดเต้น รำถวายพระเจ้า (2 ซมอ 6:12-16) เราร้องเพลงในกลุ่มเซลล์ ร้องเพลงในโบสถ์ อิ่มเอิบ สำราญใจ เพราะเราเชื่อมั่นในพระเจ้า ผู้ทรงนำเรา เราร้องเพลง สนุกสนานครึกครื้นยิ่งกว่านั้น เวลาประสบความสำเร็จ วันที่คนยิวข้ามทะเลแดง หลังจากคนยิวรอดตายจากการบดขยี้ของกองทัพฟาโรห์ เพราะพระองค์ทรงทำให้น้ำทะเลแยกออกเป็นกำแพง สองฝั่ง คนยิวเดินไปบนดินแห้ง มีรถม้าจำนวนมากตามมาไล่บี้พวกเขา พอคนอิสราเอลข้ามทะเลพ้นไปหมด พระเจ้าให้น้ำทะเลกลับคืนมาท่วมทหารและรถม้าอียิปต์ทั้งหมด แน่นอน พวกเขาเต้นรำ ร้องเพลงด้วยใจปิติยินดี “ข้าฯจะร้องเพลงถวายพระเจ้าเพราะพระองค์ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง” (อพยพ 14:15-15:1) วันที่เราฉลองอาคารศรัทธวิหาร เรามีการนมัสการถวายพระวิหาร เราร้องเพลงสรรเสริญสุขใจ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเปิดอาคารสถานประกาศใหม่ที่เพชรบุรี ผมบอกกับพี่น้องว่าผมมีความสุขที่พระองค์ประทานที่ประชุมนี้ให้ เราอยากร้องเพลงฉลองชัยไปทั้งปี
2. จงร้องเพลงกลางคืนของพระเจ้า เพลงที่ เอลีฮู กล่าวถึงนี้ เป็นเพลงที่ร้องในเวลากลางคืน นี่ไม่ใช่คอนเสิร์ต ที่นักร้องอยู่บนเวที มีสปอตไลท์ฉาย มีเครื่องขยายเสียง มีแสงไฟสาดส่ายไปมา สร้างสีสันสวยงาม และมีแฟนมาฟังเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ แต่เป็นเพลงที่เราร้องตอนพบทุกข์ เศร้าหมอง ไร้ญาติขาดมิตร ถูกโจมตี พลัดที่นาคาที่อยู่ สิ้นเนื้อประดาตัว สอบตก ทำงานล้มเหลว ถูกการข่มเหง ถูกเขาโกง พ่ายแพ้ ผิดหวังในครอบครัว เจ็บไข้ได้ป่วย ฟังดูแล้ว เราห่อเหี่ยว เวลาเราพบปัญหา เจ็บปวด เหมือนโยบนั่งอยู่บนกองขี้เถ้า นุ่งผ้ากระสอบ เศร้าโศก หาทางออกไม่ได้ อย่าว่าแต่จะร้องเพลงเลย เราอยากร้องไห้ โฮเสียด้วยซ้ำ เก่งที่สุด ก็เงียบงัน ไม่ปริปาก โอดครวญ พร่ำบ่นอะไรออกมาก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว และนั่นคือ โยบ โยบไม่ต่อว่าพระเจ้า แต่โยบก็ร้องเพลงไม่ออก แล้วเอลีฮูก็ต่อว่า ว่า ทำไม ไม่ทูลพระเจ้าในความทุกข์ ให้พระองค์ประทานเพลงร้องเวลากลางคืน
3. เพลงร้องกลางคืน เป็นเพลงที่พระเจ้าทรงประทานให้ เอลีฮู ไม่ได้แนะนำให้เราแต่งเพลงอย่างนี้ขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าเป็นผู้ประพันธ์ให้ ผมคิดว่า ในยามทุกข์ ถ้าให้เราแต่งเพลงมาร้องเอง เราคงแต่งได้ ร้องได้อยู่แหละ แต่มันคงออกมาทำนอง ไมเนอร์คีย์ เศร้าสลด ชวนร้องไห้เสียมากกว่า ถ้าเลือกดนตรี เราก็คงใช้ซออู้ หรือซอด้วง ไม่ใช่เสียงแตร ทำนองก็คงคล้าย ๆ ธรณีกรรณแสง เพราะเราหมดกำลังใจเสียแล้ว ร้องไปได้ครึ่งท่อน ก็ร้องไห้ฮือ ๆ แต่เพลงที่พระเจ้าประพันธ์ให้ มันแตกต่างกันครับ พระองค์ไม่ได้ฝืนอารมณ์เรา แต่ “ทรงเปลี่ยนความเศร้าโศก และคร่ำครวญ เป็นความเริงรื่น ชื่นชม และยินดี” ต่างหาก ทำไม“เพลงกลางคืนของพระเจ้า” จึงน่าฟัง ทำไมจึงยกจิตชูใจคนร้อง ก็เพราะพระองค์ ผู้แต่งเพลง ไม่เคยพ่ายแพ้ ไม่เคยหมดหวัง หรือท้อถอย เอลีฮู กำลังบอกโยบว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งสาธยาย ถกกันไปกันมา กับ 3 เกลอ คิดลบ เรื่องเหตุของความทุกข์ แต่ให้มาคุยกันเรื่อง “พระเจ้า พระผู้สร้าง ผู้ประทับอยู่กับเรา “ (โยบ 35:10) ผู้รักเรา ห่วงใยเรา ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เหนือปัญหาทุกอย่าง “ผู้ทรงสอนเรามากกว่า สอนสัตว์แห่งแผ่นดินโลก และกระทำให้เราฉลาดกว่านกในฟ้าอากาศ” (โยบ 35:11) พระเยซูตรัสว่า “จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ” (มัทธิว 6:26) ผมชอบแต่งเพลง ผมรู้ดีว่าท่าทีผู้แต่งสำคัญแค่ไหน ถ้าเราคิดลบ หมดหวัง ท้อแท้ เพลงของเราก็เข้าทำนอง สลดกำสรวล ถ้าเราคิดบวก มีความหวัง มีชัย เพลงของเราก็จะมีทำนอง เชื่อมั่นสรรเสริญ สำหรับเพลงกลางคืนของพระเจ้า มีแต่เสริมสร้างความเชื่อของเราอย่างเดียว ขณะโลกสิ้นหวัง พระเจ้าส่งพระกุมารเยซูประสูติที่เบ็ธเลเฮ็ม พระองค์ส่งทูตสวรรค์มาร้องเพลง กลางคืน ความว่า ”ชาวโลกทั้งหลายจงชื่นใจยินดี เพราะวันนี้ พระคริสต์มาประสูติแล้ว” เอเมน!
4. เพลงกลางคืนของพระเจ้า พลิกใจเรา ดาวิด ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ท่านว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมรับการปลอบโยน .. สิ้นหวัง“ (สดุดี 77:2-3) “ในยามค่ำคืน ข้าพเจ้าหวนคิดถึงเพลงที่เคยร้อง ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ในใจ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าแสวงหาคำตอบ....ไม่มีพระเจ้าใด ยิ่งใหญ่เท่ากับพระเจ้าของเรา” (สดุดี 77:6,13_ ฉบับอ่านง่าย) ผมเป็นคนชอบอ่านพระธรรมสดุดี เป็นเพลงสรรเสริญ ที่สร้างความสดชื่นประจำวันให้ผม ยิ่งกว่านั้นในยามทุกข์ใจ บ่อยครั้ง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมเกิดพลังความเชื่อ ฮึกเหิมขึ้นมาขณะสถานการณ์ที่เผชิญไม่โสภา สถาพร เท่าไร ครั้งหนึ่ง ผมเกิดหวาดหวั่นมากว่า ศูนย์ฝึกอบรมฯ จะไม่มีนักเรียน แต่หลังจากอ่านสดุดี ผมเรียกว่า “เพลงกลางคืนของพระเจ้า” คือ อ่านยามทุกข์ไง พระองค์ก็ตรัสกับผมว่า พระองค์จะไม่ทำให้ผมอาย (สดุดี 71:1) ครับ เพลงของพระองค์พลิกใจผม ใจเรานี่สำคัญ คนเราพอหมดกะจิตกะใจ ทำงาน ต่อสู้ เราก็หมดเรี่ยวแรง แล้วก็จะพาลยิ่งทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย หนักขึ้นไปอีก ซาโลมอนกล่าวว่า “ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะกระทำให้กระดูกแห้ง” ( สุภาษิต17:22) อีกตอน ท่านว่า “ใจที่ยินดี กระทำให้ใบหน้าร่าเริง แต่ด้วยความเสียใจ ดวงจิตก็สลายลง” (สุภาษิต 15:13) พอเรามีความเชื่อ หน้าตาก็สดชื่นเปล่งปลั่งไปด้วย
5. เพลงกลางคืนของพระเจ้า พลิกสถานการณ์ มาฟังเรื่องเพลงกลางคืนของเปาโล สักหน่อย เปาโลกับสิลาส เคยถูกโบยด้วยไม้เรียว แล้วเขาขังไว้ในคุกที่ฟิลิปปี เป็นคุกชั้นในเสียด้วย เขาเอาเท้าใส่ขื่อไว้แน่นหนา ประมาณเที่ยงคืน ทั้งสองอธิษฐาน และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นักโทษทั้งหลายฟังอยู่ ทั้งสองร้องเพลงอะไรผมไม่ทราบ อาจเป็นเพลง “พระเยซูชนะ พระเยซูชนะ พระเยซูชนะพญามาร” คือ ทั้งสองไม่มียี่หร่ากับอะไรที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง รู้อย่างเดียว พระเจ้าอยู่เหนือสถานการณ์ สิ่งที่เผชิญเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพระเจ้า นักโทษทั้งหลายในคุกฟังอยู่ นายคุกก็คงฟังด้วย เขาห้ามเปาโลกับสิลาสออกไปเดินเหินได้ แต่ห้ามปากไม่ให้ทั้งสองร้องเพลงกลางคืนของพระเจ้าไม่ได้ แล้วหมอลูกาก็บรรยายว่า “ทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ จนรากคุกสะเทือนสะท้าน และประตูคุกเปิดหมดทุกบาน เครื่องจำจองก็หลุดจากเขาสิ้นทุกคน” (กิจการ 16:25-26) ผลคือ คืนนั้น ท่านนำนายคุกกับครอบครัวมาเชื่อพระเจ้าหมด เยี่ยมไหมล่ะ ในคืนที่พระเยซูจะถูกอายัดไว้นั้น ก่อนพระองค์เสด็จจากโต๊ะอาหารมื้อสุดท้าย ไปยังสวนเก็ธเซมาเน “เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว เขาก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ” (มาระโก 14:26) เพลงที่สาวกและพระองค์ร้องด้วยกันนั้น แสดงออกถึงความเชื่อ ถึงความกล้าหาญ แสดงถึงการประกาศชัยชนะล่วงหน้า เพราะพระเจ้าทรงอยู่เหนือสถานะการณ์ต่างหาก ฮาบากุก ประพันธ์เพลงไว้น่าฟังว่า “แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า พระเยโฮวาห์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า (ฮาบากุก 3:17-19)
ถ้าเราร้องเพลงทั้งกลางวัน และกลางคืนได้ พระองค์จะทำให้เรามีชัยเสมอ
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
|
|
|