นำคนรัก พบรักพระเยซู

ศบ.

 

  วันนี้ผมขอพูดเรื่อง  การนำคนที่เรารักมาหาพระเจ้า โดยเฉพาะคนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิด

 

             บิลลี่ เกรแฮม กล่าวว่า “การบอกให้ใครรู้จักพระเยซู  เป็นการสำแดงความรักสูงสุด”

 

            ครอบครัวของคนไทยผูกพันกันมาก เราผูกโยงกันกว้างไกล ที่นครฯ ผมรู้จักบ้านไผ่ล้อม ในหมู่บ้านนั้นจะมีปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ พี่ป้า น้าอา ลูกชายหญิง ลูกของอา น้าของหลาน ทั้งยังเกี่ยวดองกันทางการสมรส เช่น พ่อตา แม่ยาย สะใภ้ เขย น้าเขย พี่สะใภ้ ก็ผูกกันเยอะแยะ  ผมอยู่ต่างจังหวัด สมัยก่อน บ้านเราปลูกส้มโอ ชมพู่ ชมพู่สาแหรก มะยม มะนาว พริกไทย คุณแม่ท่านทำขนมขาย เกือบทุกวันจะมีญาติคนโน้นมาเยี่ยม คนนี้มาเยี่ยม ญาติบางคนก็ถือวิสาสะ มาสอยส้มโอ ชมพู่ เด็ดมะนาวไป บางคนก็เอาผลหมากรากไม้ของตนมาฝาก บางครั้งไปซื้อของที่ตลาด  หรือไปร้านขนมจีน พอคนขายเขารู้ว่าผมเป็นลูกคุณแม่ หลานคุณตา เขาก็ขายให้ราคาถูก หรือขายไปแถมไปด้วย  เวลาถามคุณแม่ว่า ลุงคนนี้เป็นใคร ป้าคนนี้เป็นใคร คุณแม่ท่านก็จะนับญาติให้ฟังว่า เขาเป็นญาติกับเราทางคนนั้นคนนี้  ซึ่งผมยอมรับว่า  ผมนับไม่ถูก รู้เพียงแต่ว่าเขาเป็นญาติกับเรา 

 

             คุณตาคุณยายผมอยู่ที่บ้านบ่ออ่าง  ผมเคยไปพักอยู่กับท่านช่วงปิดเทอม ทุกวันมีคนมาบ้านท่านไม่ขาด แต่ละวันมีคนเดินขึ้นลงบ้านหัวกระไดไม่แห้ง  แต่ละวันคุณยายท่านจะทำขนมไว้รับแขกครั้งละเยอะๆ   เมื่อผมออกไปประกาศพันธกิจ  ก็พบการผูกโยงของญาติในสังคมต่างจังหวัด ไม่ต่างไปจากสมัยผมอยู่บ้านที่นคร คนไทยเราละเอียดลออในเรื่องนี้มากกว่าฝรั่ง เวลาผมแปลนักเทศน์ฝรั่ง ท่านพูดว่า I have one brother and one sister. ผมจะแปลไม่ถูกว่าท่านมีพี่ชายหรือน้องชาย พี่สาวหรือน้องสาว แต่ภาษาไทยถ้าพูดว่า  “ผมมีน้องชายและพี่สาว” เราก็รู้ได้ทันทีว่า เราเป็นคนกลาง พี่หัวปีเป็นหญิง และน้องสุดท้องเป็นชาย ถ้าฝรั่งจะพูดว่า He is my grandparents. เราจะไม่ทราบหรอกว่า  ท่านเป็นปู่ย่า  หรือเป็นตายาย กันแน่  คนไทยเราบอกได้ทันที เพราะเรามีศัพท์เฉพาะ  ผมคิดว่า อาจเป็นเพราะฝรั่งไม่ค่อยสนใจความเป็นญาติ ละเอียดลอออย่างคนไทย

 

             ลักษณะการเป็นญาติกันนี้  มีข้อดีอยู่หลายประการ

 

(1) ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  กษัตริย์ซาโลมอนกล่าวว่า “มิตรสหายมีความรักอยู่ทุกเวลา  และพี่น้องก็เกิดมาเพื่อช่วยเหลือกันยามทุกข์ยาก” (สุภาษิต 17:17) เรื่องนี้เห็นได้ชัดในบ้านเรา ขึ้นบ้านใหม่ งานแต่ง งานศพ เป็นงานที่ต้องบอกต้องกล่าวกันให้ทราบกันในหมู่ญาติ ไม่มาก็พาลโกรธกันหน่อยๆ ด้วยซ้ำ  อาจถือว่าไม่ให้เกียรติกัน  เปาโลกำชับการช่วยเหลือของญาติในคริสตจักรว่า “ถ้าหญิงผู้มีความเชื่อคนใด มีญาติพี่น้องที่เป็นแม่หม้าย ก็ให้เขาช่วยลี้ยงดู อย่าให้เป็นภาระของคริสตจักรเลย เพื่อคริสตจักรจะได้ช่วยสงเคราะห์คนที่เป็นแม่หม้ายไร้ที่พึ่งจริงๆ”(1 ทิโมธี 5:16 ) แสดงว่าท่านคาดหวังว่า คนเป็นญาติกันต้องช่วยกัน คนไทยเรายังถือว่า หากใครได้ดิบได้ดี ก็ต้องคิดถึงพี่น้องที่ตกยาก ไม่ลืมญาติตนเอง ดูโยเซฟ เป็นตัวอย่าง พอได้เป็นนายกรัฐมนตรีที่อียิปต์ มั่งคั่งรุ่งเรืองขึ้นก็นำคุณพ่อพี่น้องของตนไปอยู่ที่อียิปต์หมด 

 

(2) สนิทสนมกัน  พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ” ( มัทธิว 5:47) การสนิทสนมท่ามกลางญาติพี่น้องนั้นเป็นที่รู้และปฏิบัติกันทั่วไป พระเยซูสอนให้เราโอภาปราศรัยกว้างไกลไปกว่าเครือญาติ คนไทยเราเรียนรู้เรื่องนี้ว่า  หากเราจะสนิทสนมกับใคร  เราจะใช่ศัพท์เรียกขานแสดงความเป็นญาติ  เช่น เรียก “พี่” เรียก “น้อง” “พี่ ป้า น้า อา” แทนคำว่า “คุณ” ไปตลาดก็ได้ยินแม่ค้าบอกลูกค้าว่า “ลูกจะเลือกเสื้อตัวนี้ไม๊ เดี๋ยวป้าจะลดให้” คนไทยเรา นับลูกค้าเป็นญาติเพื่อแสดงความสนิทสนม 

 

(3) รักกัน โมเสส สอนคนยิวให้รักญาติของตนว่า “อย่าเกลียดชังพี่น้องของเจ้าอยู่ในใจ…เจ้าอย่าแก้แค้นผูกพยาบาทลูกหลานญาติพี่น้องของเจ้า” (เลวีนิติ 19:17-18) ความจริง การเข้ามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าให้เรารักกันดั่งญาติในครอบครัว (1 ทิโมธี 3:15) ยิ่งกว่าญาติตามเลือดเนื้อเชื้อไขเสียด้วยซ้ำ (มัทธิว 12:48) และในการเป็นพี่น้องในพระคริสต์  พระคัมภีร์สอนให้เรารักซึ่งกันและกัน (โรม 12:10) “จงมีใจรักพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง” (1 เปโตร 1:22) 

 

(4) อยากให้เขาได้สิ่งที่ดี  ในพระคัมภีร์ มีกี่ตอนที่คนมาพบพระเยซูแล้ว รีบกลับไปบอกญาติ แอนดรูว์ไปชวนซีโมนมาหาพระเยซู (ยอห์น 1:40) ยอห์น บุตรเศเบดี คงไปชวนยากอบ พี่ชายเช่นเดียวกัน ( มาระโก 3:17) เปโตร พาพระเยซูไปรักษาแม่ยาย ในพระธรรมกิจการ นายร้อยโคระเนลิอัส  เชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิท มาร่วมประชุม ( กิจการ 10:24) เปาโลห่วงใย ญาติของตนตามเชื้อชาติที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ท่านปรารถนาอย่างยิ่งที่จะนำคนเหล่านี้ (โรม 9:3 ) เศรษฐีที่ทนทุกข์ทรมานในเมืองผี ไม่อยากให้ญาติของตนมาทนทุกข์ออย่างตน  ร้องบอกอับราฮามว่า “บิดาเจ้าข้า  ถ้าอย่างนั้นขอใช้ลาซารัสไปยังบ้าน


                                         

 


                           

 

บิดาของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีพี่น้อง 5 คน ให้ลาซารัสเป็นพยานแก่เขา เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทรมานนี้” ( ลูกา 16:29-28 ) 

 

           คุยมาเสียยาว ผมอยากชี้ให้เห็นว่า ความรักผูกพันของญาตินั้นลึกซึ้ง แน่นแฟ้น ตัดกันไม่ขาด การประกาศโดยผ่านทางญาติพี่น้องจึงเป็นสิ่งที่เกิดผลดี เราเห็นตัวอย่างจากในคริสตจักรรุ่นแรก

 

(1) กิจการ 5:42 ที่เยรูซาเล็ม ในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐทุกๆ วันมิได้ขาด ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์

 

(2) กิจการ 10:27,33,45 นายร้อยโคระเนลิอัส นำญาติและเพื่อนมารวมกันที่บ้าน เชิญเปโตรมาเทศน์ คนเหล่านั้นก็รับเชื่อและรับพระวิญญาณ

 

(3) กิจการ 16:11-15 นางลิเดีย นำทั้งครอบครัวมาให้เปาโลสอน  และพวกเขาก็ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

 

(4) กิจการ 16:33 นายคุกพร้อมทั้งครอบครัวเชื่อและรับบัพติสมา

 

(5) กิจการ 18:1-3; โรม 16:3-5; 1 โครินธ์ 16:19 เปาโลนำ อาควิลลา และปริสสิลลา สองสามีภรรยา มารู้จักพระเจ้า สอนเขาให้เป็นสาวกที่รับใช้ต่อไป เขาได้ใช้บ้านของตนเป็นคริสตจักร

 

(6) กิจการ 18:8 เปาโลประกาศ  และคริสปัส นายธรรมศาลา กับทั้งครัวเรือนของท่านได้เชื่อถือพระเจ้า

  

(7) โรม 16:10-11 เปาโลฝากความคิดถึงมายัง “คนในครอบครัวของ อาริสโทบูลัส” ...”คนในครัวเรือนของนารซิสลัส”

 

(8) โคโลสี 4:15 เปาโลฝากความคิดถึงมายัง นางนุมฟา และคริสตจักรในครัวเรือนของนาง

 

(9) 2 ทิโมธี 4: 19 เปาโลฝากความคิดถึง คนในครัวเรือนของโอเนสิโฟรัส 

 

(10) ฟิเลโมน 2 เปาโลฝากความคิดถึง อารคิปปัส และคริสตจักรที่อยู่ในบ้านของท่าน

 

              ผมเชื่อว่าการประกาศในสมัยคริสตจักรรุ่นแรกขยายไปรวดเร็ว ก็เพราะ อัครทูตตระหนักถึงความรัก ผูกพันกันในครอบครัว จึงได้นำคนในครัวเรือน ญาติพี่น้องของตน เข้ามารู้จักพระเจ้า กลุ่มเซลล์เป็นการนมัสการ เรียนพระคัมภีร์ด้วยกันของพี่น้องในพระคริสต์ บรรยากาศของครอบครัว (Family) คือรัก ผูกพัน ห่วงใย ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน จะทำให้ลูกเซลล์อบอุ่น มั่นคง คนใหม่เข้ามาสู่แวดวงของกลุ่มเซลล์ ( Circle of concern ) ย่อมได้สัมผัสความรักความอบอุ่นเช่นเดียวกัน 

 

              ทำไมการนำคนรัก ญาติ หรือเพื่อนสนิทจึงมีประสิทธิภาพ 

 

(1)เมื่อเราตระหนักว่า ความรอด เป็นเรื่องสำคัญ  พระเยซูทรงสามารถช่วยเราให้พ้นโทษแห่งความผิดบาป นำเราออกมาจากอำนาจมืดที่ครอบงำชีวิตของเราได้จริง เราย่อมมีความสุข ตื่นเต้น เหมือนคนพบขุมทรัพย์ เหมือนคนไข้พบยาแก้โรคร้าย

 

(2) เราย่อมคิดถึงคนที่เรารัก ผูกพัน คนที่เราห่วงใย สามี ภรรยา ลูกของเรา พี่เรา น้องเรา พ่อ แม่ พี่ป้า น้าอาว์ของเรา ก่อนคนอื่นทั้งหมด เวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้น บุคคลแรกทีเราโทรไปหา หรือส่งline ไปบอก ก็คือคนเราที่เรารัก  คนที่เราห่วงใย พระกิตติคุณก็เช่นเดียวกัน ใครคือคนที่เราคิดถึงและจะต้องบอกเขาเป็นอันดับแรก

 

(3) คนเหล่านี้เขาวางใจเรา จึงเป็นการง่ายที่เขาจะรับฟัง  เราไม่ต้องข้ามกำแพง “ความเชื่อถือ” เวลาเรานำข่าวดีไปบอกคนที่เขาไม่รู้จักเรา เขาจะต้องตั้งคำถามว่า ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือเปล่า คนบอกข่าวเป็นใคร เขาหลอกลวงหรือเปล่า แต่ ท่ามกลางพ่อแม่พี่น้อง ที่รู้จัก คนเหล่านี้เชื่อถือวางใจเราอยู่แล้ว จึงเป็นการง่ายขึ้นมาก 

 

(4) มากยิ่งกว่านั้น  เขาสามารถเห็นชีวิตของเราเป็นตัวอย่าง แต่ก่อนเราเคยเกะกะเกเร อมทุกข์  เศร้ามอง อ่อนแอ วันนี้เราเข้มแข็ง มีสันติสุขชื่นชมยินดีขึ้นมาได้อย่างไร พระเยซูจึงตรัสว่า  ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก เมื่อเขาเห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะสรรเสริญพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์  … ท่านทั้งหลายจะรับพระราชทานฤทธิ์เดช  และจะเป็นพยานฝ่ายเรา ครับ  “ตัวเราเอง คือ คำพยาน ที่มีชีวิต”


            

 

(5) เรามีเวลาให้เขามากกว่าใคร เมื่อเขาต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาต้องการพี่เลี้ยง  เราซึ่งเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา ย่อมช่วยเขาได้ดีที่สุด การประชุมตามบ้านเรือน  กลุ่มเซลล์  อย่างในพระคัมภีร์ใหม่จึงเป็นที่ที่อภิบาลศิษย์ไปโดยปริยาย


                            

 

(6) การอธิษฐานเผื่อก็เช่นเดียวกัน  การอธิษฐาน ที่เกิดผลผู้อธิษฐานต้องมีภาระใจ  มิฉะนั้นเราก็คง อธิษฐาน พล่อยๆ ซ้ำซาก  โดยมิได้มีความจริงใจอะไร (มัทธิว 6:7) ถ้าจะให้ใครอธิษฐานเผื่อญาติของเรา ใครล่ะ คือคนที่เรามีภาระใจมากที่สุด ใครล่ะคือคนที่จริงจังในเรื่องนี้  มิใช่ตัวเรา ผู้มีความรัก ห่วงใย เอาใจใส่ หรอกเขาหรอกหรือ ใครล่ะ จะคร่ำครวญหรือแม้แต่ถือศีลอดเผื่อเขาได้ดีกว่าเรา คำอธิษฐานอย่างนี้ซิ มีพลัง เหมือนแม่หม้ายไปอ้อนวอนผู้พิพากษา (ลูกา 18:1-8)

 

(7) ปากต่อปาก เมื่อคนใหม่ที่เรานำมารู้จักพระเจ้า  มีหรือเขาจะไม่ตื่นเต้น  คนที่ตื่นเต้นจะปิดปากไว้ได้อย่างไร  ย่อมอยากนำข่าวดีนี้ไปบอกต่อ ปกติ คนเราย่อมมีคนสนิท ญาติพี่น้องในแวดวง เขาก็จะบอกกันต่อๆ ไป เหมือนยอห์น 1:35-51  ยอห์นผู้ให้บัพติสมา แนะนำแอนดรูว์ให้พบพระเยซู  อันดรูว์พบพระองค์แล้วก็บอกซีโมน  ซีโมนบอกฟิลิป  ฟิลิปบอกนาธันนาเอล ปากต่อปาก พระกิตติคุณก็ขยายไป

 

                  ขอพระเจ้าอวยพรครับ   

 


                                       



Visitor 183

 อ่านบทความย้อนหลัง