|
รู้จักพระผู้สร้าง ก่อนสาย
ศบ.
คนเราเกิดมาในโลก อยู่ในโลก ในช่วงเวลาอันจำกัดพอ ๆ กัน คนเรามีอายุประมาณ 70 -80 ปี ถึงร้อยปีก็มีน้อยเต็มที เราอยู่พื้นที่อันจำกัด วงโคจรของเราแต่ละคนก็ไม่แตกต่างกันมากนายนัก สมัยเด็กอยู่ต่างจังหวัด เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ วัยกลางคนไปอยู่อเมริกาหรือยุโรป พอแก่ตัวกลับมาเมืองไทย เวลาผ่านไป ไม่ช้าเราก็แก่เฒ่าชราภาพ จะสร้างวงโคจรใหม่ ก็มีเวลาไม่พอเสียแล้ว และก็ไม่จำเป็นเสียด้วย เปาโลกล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกัน ให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้า และมุ่งหวังคลำให้พบพระองค์” (กิจการ 17:26-27) พูดง่าย ๆ ก็คือ จะเกิดเป็น ฝรั่ง แขก จีน ไทย ก็ไม่ต่างอะไรกันนัก มนุษย์ล้วนแต่มีวิถีชีวิตของตนในโลกคล้ายคลึง กัน ถูกจำกัดพื้นที่และเวลาพอๆ กัน ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้ เรียกว่าฟ้าประทานให้แต่ละคนก็ได้ คือกำหนดท้องถิ่นที่เราเกิด ในอายุขัยให้เรา ไม่เกิน 100- 120 ปี ครับ ซึ่งก็มากเพียงพอที่จะแสวงหา และมุ่งคลำหาให้พบพระเจ้า พระผู้สร้าง
หญิงชายหมายเสกสร้าง อย่างพระองค์
ปัญญาน่าพิศวง รอบรู้
อารมณ์อัพปรับลง ตามความคิดเฮย
ตัวเราไซร้ใช่ผู้ เลือกใช้ชีวิน
เราสามารถรู้จักพระเจ้าได้พอกัน
วันหนึ่งดาวิด เงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าในคืนเดือนมืด เห็นดาวส่องแสงระยิบระยับ นับหมื่น ๆ ดวง ดาวิดทึ่งว่าเราเป็นใคร ที่พระเจ้าให้เกียรติเราปานนี้ (สดุดี 8:3-6) ดาวิดสังเกตดูแม่น้ำ ภูเขา ลำธาร ต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ผล นานาพันธุ์ สรรพสัตว์มากมาย รวมทั้งคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ดาวิดน้อมยอมรับว่า สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้นมันมหัศจรรย์ มีวัตถุประสงค์ มีรูปแบบ มีระบบระเบียบ ถูกควบคุมไว้ภายใต้กฏเกณฑ์อันแน่นอน สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีพระผู้สร้างเท่านั้น พระผู้สร้างยังทรงควบคุมดูแลอย่างต่อเนื่องด้วย ดาวิด พูดถึงน้ำทะเลที่ถูกแดดแผดเผา ลอยขึ้นเป็นไอน้ำ เป็นเมฆเป็นหมอก แล้วมันก็ค่อย ๆ เคลื่อนไปปกคลุมภูเขา เพราะความเย็น มันจับตัวเป็นเม็ดฝน ตกลงมารดพื้นดิน เป็นน้ำตก ไหลลงมาตามลำธาร คูคลอง รวมกันสู่แม่น้ำ สู่ท้องทะเล ให้ต้นไม้สองฝากฝั่ง อุดมสมบูรณ์ งอกงามขึ้นเขียวขจี ออกดอกออกผล ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย และคนเราได้ดื่มกิน สุขีกันไป (สดุดี 104:5-14)
อย่างที่ดาวิดสังเกตเห็นนี้ โทษที ใครๆ ที่ไหนๆ ในโลกไม่ว่าจะเป็นคนกรุง หรือคนบ้านนอกคอกนา เป็นคนไทย หรือฝรั่ง มีการศึกษาสูง จบปริญญาโท เอก เป็นด็อกเตอร์ หรือชาวบ้าน ตาสาตาสีที่เรียนจบแค่ชั้น ป. 1 ก็สังเกตเห็นได้เหมือนกัน ดาวิดน้อมยอมรับอย่างง่ายดายว่า ต้องมีพระผู้สร้าง พระผู้ดูแลโลกของเราอยู่ ดาวิดกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระราชกิจของพระองค์มากมายจริง ๆ พระองค์ทรงสร้างการงานนั้น ทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกมีสิ่งที่พระองค์สร้างเต็มไปหมด” (สดุดี 104:24)
การยอมรับว่า โลกนี้มีพระเจ้า พระผู้สร้าง เป็นความเชื่อพื้นฐานที่ง่ายดายที่สุด
ไม่ได้ออกแรงอะไร เพราะเราไม่เพียงแต่แลเห็นปัญญาของสรรพสิ่งในธรรมชาติ แต่เรายังได้ดื่มกินอิ่มหนำ กับสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน เรารับประโยชน์เป็นอาทิตย์ เป็นเดือนเป็นปี เป็นปี ๆ ทั้งแต่หนุ่มจนถึงวัยกลางคน ตั้งแต่กลางคนจนถึงชราภาพ แต่เรากลับไม่ตริตรอง ว่าสิ่งวิเศษรอบตัวเราเหล่านี้มาแต่ไหน เราเป็นเหมือนคนยืนกลางแดด ร้อนเชียว เหงื่อไหลก็ไคลก็ย้อย แต่กลับปฏิเสธ ว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงเบื้องบนนั้นไม่มี เราเป็นเหมือนคนนั่งอยู่ในห้องแอร์ มีน้ำเย็น ๆจากตู้เย็นให้ดื่ม มีแสงสว่างสีนวลจากหลอดไฟ มีทีวีให้ดู มีเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง เราสนุกเฮฮาเพลิดเพลิน โดยไม่คิดว่า ทั้งหมดมาแต่แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เราอยู่ในโลกที่แสนสบาย โดยไม่เคยขอบคุณพระผู้สร้างสักแอะ ทั้งๆ ที่ “พระองค์มิได้อยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย ด้วยว่า เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์” ( กิจการ 17:27-28) เรามิได้ผิดพลาดใหญ่โตหรือ
ผมนั่งลงพินิจเหมือนกันว่า ทำไม คนเราถึงแลไม่เห็นพระเจ้าอย่างดาวิด
1.เราคิดอะไรสั้น ๆ
พอชวนให้คิดไปถึง พระผู้สร้าง เราก็ว่าพระผู้สร้างไม่มี มันเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ โดยไม่ขอคิดใคร่ครวญอะไรต่อไป วานนี้ ผมชมรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เขาไปสัมภาษณ์เจ้าของสวนที่ระยอง เขาทำสวนทุเรียนได้ดี ลูกโต หอมหวาน นักท่องเที่ยว และคนต่างชาติแวะเวียนไปซื้อ ชม ถ่ายรูป เขาตั้งชื่อระยองว่า เสน่ห์ของอาเซียน อะไรทำนองนั้น เขาคุยว่า เขาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ มีการดูแลพิเศษ ผู้สัมภาษณ์ก็จบกันตรงนั้น ว่าเขาเก่ง ทำให้เมืองไทยมีชื่อเสียง แต่ผมก็นึกแปลกใจว่า เขาไปปรุงรส หรือทำให้ทุเรียนมีรสชาติดีได้อย่างไร โดยไม่พูดถึงพระผู้สร้างสักคำ นี่เป็นตัวอย่างน้อย ๆ ที่มีเต็มไปหมด เราคิดได้แค่นี้หรือ พอพูดถึงพระผู้สร้าง เราก็ว่าเกินปัญญา
2. เราถูกเบี่ยงเบนความคิดไปว่า สิ่งอื่นเป็นพระ
แทนพระผู้สร้างของเรา เรื่องนี้เปาโลพูดไว้ใน กิจการ 17:29 ว่า “เมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระองค์ เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นทอง เงิน หรือหิน อันเป็นปฏิมากร สำเร็จด้วยศิลปะและความคิดมนุษย์ “ อันนี้ ผมก็ว่า ถูกนำให้ความเข้าใจเช่นนี้ ปิดบัง ความเชื่อวางใจในพระผู้สร้าง ลองคิดสักนิด สิ่งถูกสร้างจะใหญ่กว่าผู้สร้างได้อย่างไร เราสร้างพระหรือเจ้าขึ้นมากับมือเรา เราเองมิใหญ่โตหรือชาญฉลาดกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ ยิ่งกว่านั้น เราเองยังเป็นฝีพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง พระองค์จะไม่ใหญ่ยิ่งกว่าเราเป็นไหน ๆ หรือ เรากลับไปขอบคุณ พระแม่คงคา พระพ่อภูผา หรือเจ้าพสุธา เราไหว้ได้แม้กระทั่ง ดวงจันทรา หรือเทพสุริยา ไหว้ได้หมด ยกเว้นพระผู้สร้าง
3. วิทยาศาสตร์สมัยใหม่
เขียนขึ้นมาโดยคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งความจริงมันมิได้เป็นวิทยาศาสตร์เสียด้วยซ้ำ มันคือลัทธิ ที่หาเหตุผลไม่ได้ เขาว่า โลกไม่มีพระผู้สร้าง เกิดมาเอง อุบัติขึ้นเอง มนุษย์มาจากการวิวัฒนาการ เริ่มขึ้นก็หาข้อพิสูจน์ไม่ได้เสียแล้ว ว่า สิ่งมีชีวิต เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต พูดให้เห็นภาพชัด ๆ ก็ว่า ไส้เดือนมาจากก้อนหิน ปลามาจากก้อนกรวด ถามว่า มาได้อย่างไร ก็ว่าเกิดได้โดยอุณหภูมิหนึ่ง ความดันขนาดหนึ่ง ในเวลานานนับล้าน ๆ ปี นานเท่าไรก็ไม่รู้ ต่อมาอีกเป็นล้าน ๆ ปี ไส้เดือนก็กลายเป็นจิ้งจก นานอีกเป็นล้าน ๆ ปี จากจิ้งจกก็เป็นกระต่าย เป็นแมว เป็นหมา เป็นลิง แล้วที่สุดเป็นล้าน ๆ ปี ก็เป็นคน อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ มีชีวิตจิตใจ มีความรัก มีความสัตย์ซื่อ ทั้งหมดนี้พัฒนากันขึ้นมาเอง ทั้ง ๆ ที่หลักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่าสสารทั้งหลายในโลกในเวลานานขึ้น มันสลายลง ไม่ได้พัฒนาขึ้น ทฤษฎีของวิทยาศาสตร์เองก็สวนทางกับทฤษฎีวิวัฒนาการ พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ตามชนิดของมัน หมาไม่เคยเปลี่ยนเป็นแมว และคนเราถูกสร้างมีชีวิตจิตใจเหมือนพระเจ้า
แล้วมาดูสรรพสิ่งในธรรมชาติที่ นักวิทยาศาสตร์ว่า มันพัฒนากันขึ้นมาเองซิ โดยไม่อาศัยสมอง หรือปัญญาของใครก่อมันขึ้นมาซิ เอาแค่ดวงตาเรา ที่รับแสง ผ่านเลนซ์ตา ไปตกที่ฉากรับภาพก้นลูกตา ไปแสดงภาพในสมอง เป็นภาพสี เคลื่อนไหว 3 มิติ เพราะมองด้วยดวงตา 2 ดวงพร้อมกัน เก่งกว่ากล้องถ่ายรูป ยาชิกา แคนนอน ที่อาศัยสมองของนักประดิษฐ์เป็นไหน ๆ แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ กลับอธิบายว่ามันเกิดเองโดยไม่มีพระผู้สร้าง ผมจะบอกให้ที่ยึดถือเช่นนี้ มีเหตุผลอยู่นิดเดียว คือ “ไม่อยากนับถือพระเจ้า”
พระเจ้าผู้สร้างทอดพระเนตรดู นักวิทยาศาสตร์ที่ยึดติดกับลัทธิข้าง ๆ คู ๆ เช่นนี้ แล้ว พระองค์จะรู้สึกอย่างไร เปาโลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง เพราะว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ ก็แจ้งอยู่ในใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้สำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวร และเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (โรม 1:18-20)
4. เราง่วนคิดอยู่แต่เรื่องเฉพาะหน้า
เรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องบ้าน เสื้อผ้าอาภรณ์ การทำมาหากิน เรื่องโน่นเรื่องนี้รอบตัวเรา เรายุ่งอยู่กับมัน ลางคนยุ่งจนไม่ได้พัก เหมือนคนเดินชมสวน เดินไป เพลินไปกับดอกไม้ ผลไม้ เดินกันไปเป็นทีม ทั้งลูกทั้งเมีย ยุ่งขิงกันไป สวนนี้มีกฏอยู่อย่างหนึ่ง เดินไปแล้วเดินกลับไม่ได้ จนกระทั่งต้องเดินออกประตูสวนไป โทษที เส้นทางโคจรในการเดินของแต่ละคน ก็เดินตามที่กำหนด ในเวลาไม่เกิน 100-120 ปี ไม่มีมากกว่านั้น เพื่อคลำหาให้พบพระองค์ จนมาถึงปลายชีวิต ตกใจแทบช็อค เพราะมาถึงประตูทางออกที่จะต้องไปพบเจ้าของสวน
รู้จักพระเจ้านั้นง่ายดายครับ
เพียงแต่เราละทิฐิ ถ่อมใจลงน้อมยอมรับ ความจริงและวางใจในพระองค์ ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้ เพราะผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และทรงประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6) เรายังมีปัญหาเรื่องบาป และโทษที่เราต้องรับเสียด้วย เราจะหลุดพ้นจากโทษทัณฑ์เช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อสองพันปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก วายพระชนม์ที่ไม้กางเขน เป็นประตูให้เราไปถึงพระบิดาได้ ผู้เชื่อที่กลับใจเสียใหม่จากบาปผิด พระองค์ประทานสิทธิอำนาจให้เป็นบุตรของพระองค์
แม้กาลเวลาผ่านไป แต่ยังไม่สายหากเราถ่อมใจเข้ามาวางใจในพระผู้สร้าง อย่าลืมว่า ความรอดที่เราได้รับนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ตัวใครตัวมัน พ่อกลับใจแทนลูกก็ไม่ได้ ลูกเชื่อแทนพ่อก็ไม่ได้ ไม่นานนักเราต่างต้องออกพ้นจากประตูสวนนี้ไปพบเจ้าของสวนกันทั้งนั้น
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
|
|
|