รักของนางรูธ

 

ศบ.


“โอรปาก็จุบลาแม่ผัว แต่รูธยังเกาะแม่ผัวอยู่” (นางรูธ 1:14)


ยังไม่พ้นกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก จึงขอพูดเรื่องความรักอีก ผมเคยให้คำปรึกษาคู่บ่าวสาว และประกอบพิธีสมรสให้สมาชิกหลายคู่ ก่อนงานวิวาห์ ผมสังเกตว่า สิ่งที่มักสร้างความกังวลใจให้คู่สมรสนั้น ไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องบ้าน ไม่ใช่เรื่องพิธี แต่เป็นเรื่องความไม่มั่นใจว่า คู่ครองจะรักและสัตย์ซื่อกับตนตลอดไปหรือไม่ ใครก็รู้ว่าชีวิตสมรส และการครองเรือนนั้น ทั้งสองที่ร่วมหอลงโรงจะต้องอยู่กินด้วยกันไปตลอดชีวิต เลิกไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่การซื้อรถ หรือซื้อบ้าน ที่พอไม่ถูกใจก็จะขายทิ้ง ไปซื้อรถคันใหม่ หรือไปดาวน์บ้านหลังใหม่ เขาต้องเป็นสามีภรรยาไปจนความตายจะแยกทั้งสองออกจากกัน

 


ตอนรักกันใหม่ ๆ นั้นดูไม่มีอะไรน่าห่วงนัก เพราะพ่อหนุ่มก็ยังแข็งแรงดี รูปหล่อ เป็นชายอกสามศอก ส่วนแม่สาวก็งดงามเปล่งปลั่ง ผิวพรรณผุดผ่อง เต่งตึง ทรงเสน่ห์ เป็นช่วงข้าวใหม่ปลามัน อะไร ๆ ก็ดูจะสวยสดงดงามไปหมด สุนทรภู่ท่านว่า “ยามเอย ยามรัก น้ำต้มผักที่ขม ชมว่าหวาน” ขนาดนั้นเชียว คือ เราสามารถมองข้ามความผิด สิ่งบกพร่องไปได้หมด เหมือนคนตาบอด ข้อเลว ข้อด้อย ข้อเสีย เราสลัดขว้างมันทิ้งไปสิ้น แลเห็นแต่สิ่งดี ๆ เท่านั้น บางครั้ง ยามรัก สิ่งเลวก็ยังชมเชยว่าดีเลย ครั้นกาลเวลาผ่านไป ชายก็อ่อนแรงลง เดินกระโผลกกระเผลก ตามืดตามัว ฝ้าฟาง ฝ่ายหญิงก็อ้วนท้วนขึ้น ผิวหนังก็หย่อนยานลง ไม่สะสวยเหมือนสาวเออะๆ ฟันฟางเริ่มหัก กระดูกกระเดี้ยก็ไม่แข็งแรง ที่เคยวิ่งกระฉับกระเฉง วันนี้ต้องอาศัยไม่เท้าค้ำยัน หรือรถเข็น ยามนี้แหละเป็นเวลาพิสูจน์รัก สุนทรภู่ ท่านพูดต่อไปว่า “ครั้นรักจางห่างเหินไปเนิ่นนาน แม้น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยว ไม่เหลียวแล” ครับ พอไม่รัก ทำอะไร ๆ มันก็ผิดไปหมด คนไทยเรายังมีภาษิตอีกว่า “มีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่ แต่พอมีหนี้ ไม่มีใครนับพี่นับน้อง” ไม่มียามใดพิสูจน์รักได้เท่ายามยาก

 


คนที่อ่านพระธรรมนางรูธ จะรู้ดีว่า นางนาโอมีนั้นพบความทุกข์ยากแค่ไหน แล้วยามสิ้นไร้ไม้ตอก ใครหรือจะบอกรัก คราวที่นางออกมาจากเบธเลเฮม แคว้นจูเดีย ไปอาศัยในแผ่นดินโมอับ ของคนต่างชาติ เธอมีทั้งสามี คือ เอลีเมเลค และลูกชายสองคน วันนี้มาอยู่ต่างแดน ทั้งสามีและลูกชายสองคนอำลาโลกไปหมด คงเหลือแต่สะใภ้ชาวโมอับสองคน คือ โอรปา และรูธ นาโอมี หญิงม่าย ไร้ญาติขาดลูก ระทมทุกข์แน่ เวลาคนเรียกเธอว่า นาโอมี แปลว่าสุขสบาย เธอตั้งชื่อตัวเองใหม่ บอกชาวบ้านชาวช่อง ให้เรียกเธอว่า มารา แปลว่าขมขื่น เพราะชีวิตมันแสนรันทด


คิดถึงพระเยซู เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ใช้ชีวิตอย่างยากจน ประสูติในครอบครัวของโยเซฟ ช่างไม้ อาชีพพื้นบ้านที่ไม่ร่ำรวยอะไร พระองค์เติบโตที่เมืองนาซาเร็ธ บ้านนอกที่คนกรุงดูถูกดูแคลน “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธ” พระองค์ไม่มีพรรคพวก ไม่มีเส้นสาย ไม่มีที่พักสะดวกสบายอะไร พระองค์ตรัสว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่วางศีรษะ” สาวกจำนวนมากที่ติดตามพระองค์มา ครั้งหนึ่งก็ผละจากพระองค์ไป จนพระองค์ถามสาวก 12 คนว่า “พวกท่านจะจากเราไปด้วยหรือ” วันที่พระองค์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน สาวกหนีจากพระองค์ไปหมด ยกเว้นยอห์น เปโตรเองก็ปฏิเสธพระเยซู ยามตกยากเช่นนี้ ยังจะมีผู้ติดตามพระองค์หรือ


เรื่องนางรูธ ผ่านมานาน 2000 ปีที่แล้ว พระเยซู อาจไม่เป็นที่นิยมชมชอบของคนไทยจำนวนมาก วันนี้ สาวกพระเยซู ยังเป็นคนกลุ่มน้อยในบ้านเรา คำถามคือ ท่านยังจะรักพระองค์หรือ ยังจะติดตามพระเยซูหรือ

 


นางนาโอมี เตรียมกลับไปจูเดีย อย่างคนคอตก ทอดอาลัยตายอยาก บอกลูกสะใภ้สองคนว่า กลับไปเถอะ เธอสองคนยังสาว หาสามีใหม่ในโมอับ ชนชาติเดียวกันย่อมได้ อย่าตามแม่ไปเบธเลเฮมเลย แม่มีมีอะไรให้ ลูกชายแม่ก็ไม่มีมาให้แต่งงานกับพวกเธออีกแล้ว กลับไปเถิด อนาคตของเธอยังรุ่งโรจน์อีกมาก เชื่อแม่เถอะ กลับไปบ้านดีกว่า ตามแม่ไปไม่ได้อะไร อนาคตพวกเธอดับเปล่าๆ “แม่​แก่​เกิน​ที่​จะ​มี​สามี​แล้ว หาก​แม่​จะ​ว่า​แม่​ยัง​มี​ความ​หวัง​อยู่ ถ้า​แม่​จะ​มี​สามี​คืน​วันนี้​และ​มี​บุตร​ชาย​ แล้ว​เจ้า​จะ​รอ​อยู่​จน​บุตร​ชาย​นั้น​เติบโต​ได้​หรือ เจ้า​จะ​อด​ใจ​ไม่​แต่งงาน​หรือ” ( นางรูธ 1:11-13 ) ครั้งแรกทั้งสองร้องห่มร้องไห้ ปฏิเสธที่จะละนางนาโอมี ครั้นนางนาโอมียังยืนกราน ขอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองต่างกลับบ้านแม่ของตน โอรปา สะใภ้ตนโตก็เห็นคล้อย จุบลาแม่ผัว กลับบ้าน ส่วน รูธ สะใภ้คนเล็ก ยังคงยึดมั่นติดตามนาโอมีต่อไป


1. รักแท้ พิสูจน์ด้วยการพร้อมทนทุกข์ ไม่ใช่ คำพูด
ตอนอำลากัน ทั้งสองพูดกับแม่ผัวว่า “อย่าเลย เราทั้งสองจะกลับไปกับแม่ ไปถึงชนชาติของแม่” (นางรูธ 1:10) ฟังดูน่าชื่นใจแท้ มีหนุ่ม ๆ ไม่น้อยสัญญาว่าจะรักคู่ชีวิตจนตราบเท่าวันตาย แต่ ฟลอย แมคคลัง กล่าวว่า “คำพูดเป็นข้อพิสูจน์ความรัก ที่มีราคาถูกที่สุด” คือ ไม่ได้ลงทุนอะไรสักบาท เฮนรี่ วอร์ด บีเชอร์ กล่าวว่า “คนเราไม่รู้ ว่าเขารักเรามากแค่ไหน จนกระทั่ง ได้รู้ว่าเขาเต็มใจทนความทุกข์ยาก เพื่อเรามากแค่ไหน ขนาดของความทุกข์ที่เขาอดทน คือ ขนาดของความรักที่เขามีให้” ความทุกข์ของนาโอมี แม่ผัว การเปิดทางให้ทั้งสองมีอิสระเลือกกลับไปบ้าน เป็นเครื่องวัดใจของทั้งสองว่า เขารักนาโอมีแค่ไหน แล้วที่สุด ผลก็ออกมา สะใภ้คนโตกลับบ้าน สะใภ้คนเล็กพร้อมเผชิญความลำบากกับแม่ผัว ผมรับใช้พระเจ้ามานานหลายปี เห็นคนที่ติดตามพระองค์อย่างเหนียวแน่น และเห็นคนที่เคยสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งพระองค์ ละทิ้งพระเจ้าไปไม่น้อย การพร้อมทนทุกข์กับพระคริสต์ คือ ข้อพิสูจน์ความรักที่มีต่อพระองค์


2. รักแท้ พิสูจน์ด้วยการเสียสละ ไม่ใช่ น้ำตา
ตอนนาโอมีพบทุกข์ บอกให้สองสะใภ้กลับไป ทั้งสองฟังแม่ผัวพูดแล้วร้องไห้ สงสารแม่ ก็ดูดีกันทั้งคู่ แต่น้ำตาก็ใช้เป็นเครื่องวัดใจไม่ได้ ในคำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี เลวีและปุโรหิต ผ่านมาเห็นคนเจ็บที่ถูกโจรทุบตี จวนเจียรตาย ทั้งสองคงนึกสงสาร อาจมีน้ำตาด้วย แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ช่วยคนเจ็บสักนิด ชาวสะมาเรียผ่านมา อาจไม่มีน้ำตาสักหยด แต่เขาลงจากลา มาหามคนเจ็บไปรักษา ใครคือคนที่รักคนเจ็บ คราวนั้น โอรปาร้องไห้ แต่เธอก็เลือกกลับบ้าน ส่วนรูธเลือกตามแม่ผัวไป ริชาร์ด เกล กล่าวว่า “การเห็นอกเห็นใจ โดยไม่ช่วยเหลือใด ๆ เปรียบเหมือน สเต็กเนื้อ แห้ง ๆ ที่ไม่มีน้ำซอสราดเนื้อ” ทานยาก ไร้รสชาติ และอาจติดคอ


3. รักแท้ พิสูจน์ด้วยการมอบชีวิตให้ ไม่ใช่การจุมพิต
วัฒนธรรมไทย ไม่แสดงความรักด้วยการจูบ หรือหอมแก้ม วันนี้ คนไทยอาจใช้วิธีเข้าไปจับมือถือแขน ซึ่งผู้ที่ได้รับสัมผัสก็ซาบซึ้ง รู้ว่าเขารักเรา แต่หลายชาติเขาใช้วิธีจุบ เป็นการแสดงความรัก “โอรปาจุบอำลา แต่รูธยังเกาะแม่ผัวอยู่” ในเรื่องนี้ รูธไม่ได้จุบแม่ แต่ติดตามแม่ไป ตอนเป็นนักเรียน ผมได้ยินเพลงฝรั่งเพลงหนึ่ง ของ Shelby Flint เนื้อเพลงคือ Jimmy kissed me in the springtime / Tommy kissed me in the fall / But I remember only Joey / Joey kissed me not at all / joey made me change my name แปลเป็นไทยนะครับ “จิมมี จุบฉันในฤดูใบไม้ผลิ ทอมมีจุบฉันในฤดูใบไม้ร่วง แต่ฉันจำโจอีได้คนเดียวเท่านั้น โจอีไม่ได้จุบฉันเลย แต่เขาเปลี่ยนนามสกุลของฉัน” โจอี คือคนที่สมัครใจ ขอแต่งงานสร้างครอบครัวกับเธอ การมอบชีวิต และพร้อมลงนาวาลำเดียว ฝ่าแดดฝน คลื่นลมต่างหากพิสูจน์รัก ไม่ใช่แค่การจุมพิต ยูดาส ยังจูบพระเยซู เพื่อทรยศต่อพระองค์เลย รักแท้ อย่างนาโอมี พิสูจน์ด้วยการพร้อมใช้ชีวิตยากลำบากกับแม่ผัว


4. รักแท้ พิสูจน์ว่าเห็นคุณค่าภายใน ไม่ใช่ ภายนอก
เมื่อโอรปา กลับบ้านไป นาโอมีบอก รูธ ให้ตามพี่สะใภ้ของเธอไปด้วย “เขากลับหาชนชาติของเขา และพระของเขาแล้ว” แต่นางรูธบอกว่า “แม่ไปที่ไหนฉันจะไปที่นั่น ญาติของแม่ จะเป็นญาติของฉัน พระเจ้าของแม่ จะเป็นพระเจ้าของฉัน”(นางรูธ 1:16) ดูเผิน ๆ นาโอมี ไม่มีอะไร เธอ คือ แม่ม่ายไร้ญาติ นี่คือสิ่งที่โอรปาเห็น แต่รูธเห็นต่าง เธอแลเห็นพระเจ้าที่นาโอมีนับถือ เธอแลเห็น ชาติตระกูลที่พระเจ้าเลือกสรรในตัวนาโอมี โอรปาอาจเห็นเพียงว่า ตนมาแต่งงานกับสามี ต่างศาสนา ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับไปบ้านของตน กลับไปยังศาสนาเดิมของตน น่าเสียดายแท้ เธอได้เกลือแล้ว แต่หันกลับไปกินด่าง ตรงกันข้ามกับ รูธ เธอเห็นคุณค่าในการเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของนาโอมี รูธเล็งเห็นว่าตนมาพานพบ สามีที่เชื่อพระเจ้าเที่ยงแท้ ชาติตระกูลของสามีที่ตนเข้ามาเป็นสะใภ้ เป็นชาติตระกูลที่พระเจ้าเลือกสรร อันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าล้ำเลิศยิ่งกว่าสิ่งใด วันนี้มีลูกหลานคริสเตียนกี่คนที่คิดอย่างนางรูธ ว่าวิเศษยิ่งที่ตนเกิดในครอบครัวผู้มีความเชื่อพระเจ้าเที่ยงแท้ และมีผู้ที่เข้ามาในโบสถ์กี่คนที่ ตระหนักว่า ตนมาเห็นเพชรในตมเข้าให้แล้ว พระเยซูเปรียบเทียบว่า คนที่พบพระเจ้า เหมือนคนพบขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในนา เมื่อเห็นแล้ว ก็ไปขายทรัพย์ทั้งหมด มาซื้อนานั้น

 


5. รักแท้ สัตย์ซื่อจนวันตาย ไม่มีวันตีจาก
นี่คือวาทะนางรูธ ที่ลือเลื่อง “แม่ตายที่ไหน ฉันจะตายที่นั่น และขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพรากฉันจากแม่ นอกจากความตาย ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษฉัน” (นางรูธ 1:17) บางคนตั้งชื่อพระธรรมเล่มนี้ว่า “ความจงรักภักดี” ในชีวิตคู่เราต้องการ สามีภรรยาเช่นนี้ เป็นกิ่งทองใบหยก จนกระทั่งถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร การติดตามพระเยซู เราต้องสัตย์ซื่อ จงรักภักดีต่อพระองค์ อลีส แครี กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดทำให้คนเรา จงรักภักดีได้เท่ากับความรัก”


พระเจ้าตอบแทนความรักของเธออย่างไร
แล้วพระเจ้าก็ให้รางวัลนางรูธ แม่ม่ายชาวโมอับ ผู้รักแม่ผัวอย่างไม่มีเงื่อนไข ใด ๆ เธอสมัครใจติดตามนาโอมีไปยังเบธเลเฮม ชาวเมือง เห็นสองแม่หม้ายยากจน ที่สิ้นเนื้อประดาตัว นาโอมีไม่มีสมบัติใด ๆ เว้นแต่สะใภ้ต่างชาติ ที่รัก สัตย์ซื่อ พร้อมปรนนิบัติเธอยิ่งกว่าชีวิต เอาเข้าจริง ลางทีสมบัติชิ้นที่นาโอมี พาติดตัวมานี้ หาไม่ได้ในแผ่นดินอิสราเอล ท่านทราบไหมว่า ชีวิตที่รักและสัตย์ซื่อต่อพระเยซูนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลก


ฟ้ามีตา พระเจ้าทรงชื่นชอบในตัวนางรูธ ที่สุด เธอพบรักและแต่งงานกับโบอัส เศรษฐีชาวยิวผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับเอลีเมเลค สามีของนาโอมี โบอัสและนางรูธมีบุตรด้วยกัน ชื่อ โอเบด ตอนที่โอเบด คลอดนั้น บรรดาผู้หญิงทั้งหลายก็ชื่นชม กล่าวกับนางนาโอมีว่า “ให้เด็กคนนี้ เป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้า และเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้เกิดมาจาก ลูกสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน” เยี่ยม! แล้วต่อมา โอเบด ก็มีลูกชื่อเจสซี เจสซี เป็นพ่อของ ดาวิด ซึ่งเป็นต้นตระกูลของพระเยซู (นางรูธ 4: 14-17)


พระเจ้าทรงตอบแทนความรักแท้ของเธอโดยการให้เธอเป็นมารดา ผู้อยู่ในลำดับพงศ์ของพระเยซู (มัทธิว 1:5) เป็นสิ่งที่ทรงเกียรติที่สุดครับ


ขอพระเจ้าอวยพร

 

 

 



Visitor 343

 อ่านบทความย้อนหลัง