คนของเราในนครนี้มีมาก

ศบ.

 

   “คนของเราในนครนี้มีมาก” กิจการ 18:10

 

             ในบรรดาบุคคลในพะคัมภีร์  นอกเหนือจากพระเยซู ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเปาโลมาก เหตุที่ชอบท่าน เพราะผมสังเกตว่า  ตั้งแต่ท่านพบพระเยซู เริ่มต้นรับใช้ในกิจการ บทที่ 9  ท่านรับใช้พระเจ้าแข็งแกร่งมาโดยตลอด จนตลอดชีวิตของท่านก็ว่าได้  ท่านเผชิญอุปสรรคต่าง ๆมากมายเหลือเกิน แต่ก็ไม่เห็นท่านย่อท้อ อุปสรรคที่ท่านพบได้แก่  ติดคุก  ถูกเฆี่ยน  ถูกล่ามโซ่  ถูกขู่จะฆ่าท่าน  ขาดเงิน  คนเข้าใจท่านผิด  ท่านถูกโจมตีว่า  ทำงานเพราะเงิน   ลูกทีมผละจากท่านไป   เรือแตก   ลอยคออยู่ในทะเล  ถูกเอาก้อนหินขว้าง เขานึกว่าตายแล้ว  ลากศพออกไป  แต่ท่านยังไม่ตาย  ผมคิดว่าท่านเป็นคนมั่นคง ต่อสู้เด็ดเดี่ยวมาก แต่ที่เมืองโครินธ์คราวนี้  ผมสังเกตจากจดหมายของท่าน ว่าท่านกำลังท้อถอย หรือไม่ก็ชักไม่แน่ใจ ว่าจะทำอย่างไรต่อ ไป 

 

           ฟังคำสัมภาษณ์ของท่านน่ะว่าท่าน รู้สึกอย่างไร  “เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าอ่อนกำลัง  มีความกลัว และหวาดหวั่นมาก” ( 1 โครินธ์ 2:3)  ถามว่าเปาโลหวาดกลัวอะไร   คนที่ผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำอย่างท่าน  กลัวคุกหรือ  กลัวถูกเฆี่ยนหรือ   กลัวความลำบากหรือ   ผมเล็งเห็นว่า เปาโลมิน่ากลัวเรื่องอย่างนี้  ทำไมผมคิดอย่างนี้  ในฟิลิปปี 3:10  ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระองค์ .. และร่วมทุกข์กับพระองค์ “ ยิ่งพบความลำบาก ท่านคิดว่าท่านได้ชิมสิ่งที่พระเยซูประสบ  และนั่นคือความต้องการของท่าน   แต่สิ่งที่ผมคิดว่าท่านกลัวคือ  กลัวว่างานที่ท่านตั้งใจจะทำนั้นไม่ประสบความสำเร็จ   ท่านกล่าวว่า”มีการอื่นที่บีบข้าพเจ้าอยู่ทุกวันๆ  คือความกระวนกระวายถึงคริสตจักรทั้งปวง” ( 2 คร. 11:28 )

 

                                        

 

           ก่อนที่ท่านจะมาถึงเมืองโครินธ์  เปาโลรู้ดีว่าพระเจ้าเรียกให้ท่านข้ามช่องแคบ  มายังยุโรป  คือมายังมาซิโดเนีย  ท่านประกาศเมืองแรก คือ ฟิลิปปี  มีนางลิเดีย และครอบครัวมาเชื่อ  ท่านติดคุก  นายคุกมาเชื่อทั้งครอบครัว ท่านเดินทางต่อมายังเธสะโลนิกา  เกิดคริสตจักรใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็วในสามสัปดาห์  วุ่นวายมาก  พวกยิวขับไล่ท่าน ท่านต้องรีบออกจากเมืองมาเบโรอา  อยู่ที่นี่ได้ไม่นานพวกยิวก็ขับไล่ท่านอีก  ท่านลงมาเอเธนส์  เทศนาที่ตลาดคนกับใจไม่มาก ในที่สุดท่านก็ย้ายมาทำงานที่โครินธ์  เมืองซึ่งตั้งอยู่บนช่องแคบระหว่างทะเลไอโอนิก กับทะเลเอเจนท์   เมืองการค้า  เมืองคนที่ง่วนอยู่กับวัตถุนิยม  กีฬา ปรัชญารูปเคารพเมืองที่มีวิหาร พระอโฟร ไดท์ ตั้งบนเนินเขามาร์   วิหารที่นี้ มีนางชี เป็นพันไว้รอรับ  ร่วมเพศกับคนที่มานมัสการ  โครินธ์ได้ชื่อว่าเมืองคนถ่อย เมืองที่มีพวกยิวหัวแข็งในศาลาธรรมอย่างเดียวกับ  ที่ผ่าน ๆมา  

 

           นี่มันจะเสียเวลา หรือเปล่า ดูเหมือนการข้ามมายังยุโรปในการเดินทางเป็นมิชชันนารีครั้งที่  2  ของท่านคราวนี้จะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คว้าน้ำเหลว หรือได้อะไรก็แค่นิด ๆ หน่อย ๆ หรือเปล่า  เปาโลอยากตั้งคริสตจักรแข็งแรง อยากให้คนยิว คนเข้าจารีตยิว หรือคนต่างชาติที่ ธรรมศาลา ผู้รอคอยพระคริสต์มาเป็นพัน ๆ ปี  ทราบว่า    พระเยซูนี่แหละคือพระคริสต์   ชาวเมืองนี้ดูจะไม่ค่อยสนใจธรรมะ  แต่สนใจปรัชญากรีก สนใจเกมส์กีฬา สนใจความสนุกสนาน  มันช่างเหมือนคนเมืองกรุงเทพฯ เราแท้ ๆ  แล้วการประกาศที่นี่จะลงเอย  ถูกขับไล่ออกจากเมืองในเวลาไม่กี่สัปดาห์  อย่างเมืองที่ผ่าน ๆมาใน

 

                       

 

           แคว้นมาซิโดเนียหรือเปล่า การถูกทุบตี  กักขัง อย่างที่แล้ว ๆ ทำให้ตนไม่อาจอยู่ต่อไปในเมือง จนต้องใช้วิธีฝากทิโมธีและลูกทีมไปสานงานต่ออีกหรือเปล่า   ผมคิดว่านี่คือความกังวลของเปาโล 

 

            นี่คือคุณสมบัติอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผมชอบเปาโล  คือ ท่านมิได้ทำงานแค่ให้ได้ทำ  ได้แค่ไหนก็แค่นั้น  ถึงก็ชั่งไม่ถึงก็ชั่ง ได้ก็ดี ไม่ได้ก็แล้วไป  พระเจ้าจะมาเอาอะไรกับตน  แต่ท่านปรารถนาทำให้งานที่พระเจ้ามอบหมายประสบความสำเร็จ      ผมทำงานรับใช้มาหลายปี   สิ่งที่ผมเห็นอยู่เสมอก็คือ  เราทำงานอย่างคนไม่มีภาระใจ   บางทีผมเรียกว่าทำพอเป็นพิธี  ทำพอมิให้ใคร  มาตำหนิติเตียนเราได้ว่า “เราไม่รับใช้”  ทำพอดับจิตสำนึกที่ฟ้องร้องเราว่า ไฉนเรารับพระคุณเป็นการเปล่า  ส่วนจะมีใครมาเชื่อ  ใครจะรับบัพติสมา  ใครจะเติบโตขึ้นอย่างไร เราไม่สนใจ   ถ้าเป็นธุรกิจขายสินค้า  เราขายของไม่ได้  และเรายังหลับหูหลับตาตั้งร้านขายไปพอเป็นพิธี  เราก็คงจะเจ๊งไปในไม่ช้า แต่เปาโลฝัน  ผมบอกให้ว่าท่านฝันว่าอย่างไร  ท่านฝันว่า ท่านจะเปลี่ยนอาณาจักรโรมันให้เป็นอาณาจักรคริสเตียน  ให้ได้  ฟังท่านแสดงความตั้งใจน่ะครับ “โดยพระวิญญาณเปาโลได้ตั้งใจว่า  เมื่อไปทั่วแว่นแคว้นมาซิโดเนียแล้ว  จะเลยไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  และพูดว่า”เมื่อข้าพเจ้าไปที่นั่นแล้ว  ข้าพเจ้าจะต้องไปเห็นกรุงโรมด้วย” (กิจการ19:21)  ความจริงท่านตั้งใจไปถึงสเปน  โน่น  (โรม 15:23-24)   คนที่ตั้งใจ  มุ่งมั่น อยากได้  ครั้นทำไม่ได้เพราะโอกาสมันปิด  ถูกขัดขวาง  ก็ย่อมหงุดหงิด  หวาดหวั่นว่าจะผิดหวังเป็นธรรมดา    

 

          โรเบิร์ท ชูเลอร์ ว่า ความเครียดของคนเรามีหลายแบบ มีทั้งความเครียดที่ดี และไม่ดี  ที่ไม่ดีคือความเครียดกังวลเรื่องของตัวเอง เครียดที่ตนไม่ได้นั่น ไม่ได้นี่  ส่วนความเครียดที่ดี คือความเครียดว่าจะช่วยคนนั่นคนนี้ได้อย่างไร ท่านยังกล่าวต่อไปว่า   การตั้งเป้าช่วยเหลือคน  เป็นการสร้างความเครียด  แต่เป็นความเครียดที่ดี  บางคนรับใช้แบบไม่ตั้งเป้าหมายอะไร คิดว่า  เพื่อตนจะได้ไม่ต้องเครียด ท่านกล่าวว่า แท้จริงคนที่ไม่ตั้งเป้า ไม่มุ่งมั่น  เครียดยิ่งกว่า  ความเครียดชนิดหลังนี้ เกิดจาก   ความรู้สึกว่าตนเป็นเรือที่ล่องลองไปในทะเลอย่าง ไร้หางเสือ  ไร้ทิศทาง ปล่อยไปตามกระแสน้ำ  วันดีคืนดีก็เอามือก่ายหน้าผาก  และลึกๆ ก็บอกตัวเองว่า ตนช่างไร้ค่าสิ้นดี  ไปไหนก็ไม่รู้ 

   

          เปาโลหวาดหวั่นว่า งานจะไม่สำเร็จ จะลงเอยอย่างที่ผ่าน ๆมาหรือเปล่า 

 

             และที่เมืองโครินธ์นั่นเอง พระเยซูก็มาหนุนใจเปาโล  ครับ! พระเยซู  ผู้มาพบเซาโลตั้งแต่ครั้งแรกที่ท่าน จะขึ้นไปลากคอคริสเตียนที่ดามัสกัส  จับมัดมาขังคุกที่เยรูซาเล็ม พระเยซูผู้ทรงแต่งตั้งท่านให้ไปประกาศแก่คนต่างชาติ  “องค์พระผู้เป็นเจ้า  ได้ตรัสกับเปาทางนิมิตในคืนวันหนึ่งว่า “อย่ากลัวเลย  แต่จงกล่าวต่อไป  อย่านิ่งเสีย  เพราะว่าเราอยู่กับเจ้า และจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดทำร้ายเจ้า ด้วยว่าคนของเราในนครนี้มีมาก”  (กิจการ 18:9-10)    

 

             เรื่องนี้หนุนใจผมมาก  

 

           เปาโลมาที่โครินธ์ท่านทำอะไร  ท่านพบคู่สามีภรรยาคริสเตียนชาวยิว   คือ อควิลลา  กับปริสซิลลา มีอาชีพเย็บเต็นท์ ท่านจึงไปร่วมเย็บเต็นท์ได้เงินมาเลี้ยงปากท้องระหว่างสัปดาห์  ปลายสัปดาห์  ในวันสะบาโต  เปาโลก็พยายามประกาศในธรรมศาลาของคนยิว อย่างที่เคยปฏิบัติมาทุกเมือง  แล้วก็ลงเอย  ถูกพวกยิวขัดขวาง   ต้องย้ายออกมาอยู่ข้างนอก  คราวนี้มาใช้ห้องประชุมของ ทิทิยุทัส  สอนคนใหม่  ไม่นานอาจถูกขัดขวางจนต้องไปอีก  แล้วงานจะสำเร็จได้อย่างไร  คิดแล้วก็ท้อถอย   ทหารในสนามรบแลอะไรไม่เห็นอย่าง เสนาธิการผู้คุมเกมการรบ   นักกีฬาที่เล่นในสนาม บางทีก็  เหมือนคนถูกปิดตา  แลไม่เห็นประตูชนะ  ไม่เหมือนโค้ชที่นั่งข้างสนาม   

 

           พระเยซูทรงเป็นโค้ช แห่งการเพิ่มพูนคริสตจักร ชั้นยอด  ทรงทอดพระเนตรมาจากฟ้าสวรรค์  ทรงแลเห็นไม่เหมือนเรา   พระองค์ทรงรู้ดีว่า จะเดินแบบไหน อย่างไร  พระองค์ทรงทราบ เสียด้วยว่า  เราหวาดหวั่นอย่างไร  ผมแปลคำหนุนใจน่ะครับ “อย่ากลัว ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าต้อง ออกไปจากเมืองอย่างที่แล้วๆ มา  อย่าหยุด  จงกล่าวต่อไปอย่านิ่งเสีย  วิธีที่ทำงานนั้นดีแล้วถูกต้องแล้ว  กำลังเกิดผล  แม้เราอาจแลไม่เห็นผล แต่มันได้ผล  เรากำลังได้เปรียบ เราไม่ได้ปล้ำสู้อยู่ตามลำพัง พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเรา 

 

                “คนของเราในนครนี้มีมาก”

 

            เรื่องคนจะตอบสนองมากหรือน้อยนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีเท่าพระเยซู  เอลียาห์  เคยท้อถอย หมดเรี่ยวหมดแรง  เพราะคิดว่าตนสู่กับอาหับ  และพระนางเยเซเบล  ที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่คนเดียว  แต่เอลียาห์เข้าใจผิด  พระเจ้าทรงต่อสู้แทนเขาอยู่  ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังมีคนอีก 7,000 คน ที่ยังไมได้ไหว้พระบาอัล   ทั้งยังเตรียมกษัตริย์  และผู้เผยพระวจนะสำรองไว้แล้วเสียด้วยซ้ำ  

 

               เช่นเดียวกันพระเยซูตรัสกับ เปาโล  ว่า “คนของเราในนครนี้มีมาก” พระองค์รู้ได้อย่างไร อย่าลืมว่า “พระเจ้า ทรงเป็นเจ้าของนา”  (มธ. 9:38)    

 

                               

 

       ทุ่งนาที่เราไปเก็บเกี่ยว เปรียบเหมือนผู้คนที่เราออกไปช่วยเขา ทุ่งนาใดยังเขียว  คนไม่ตอบสนองต่อพระกิตติคุณ  ทุ่งนาใดเหลือง  คนตอบสนองดี  พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนารู้ดี  บางทีพระองค์ คือ ผู้ช่วยให้ท้องที่นั่น ๆ พร้อมหรือไม่เสียด้วย  เราต่างหากที่มองไม่ออก รู้หน้าไม่รู้ใจ  แต่พระเจ้าทรงรู้ใจคน  เวลาพระเยซูตรัสกับเปาโลว่า “คนของเราในนครนี้มีมาก” แสดงว่า พระองค์ทรงทอดพระเนตรจากสวรรค์  แลเห็นใจของผู้คน  คนที่หิวกระหาย คนที่เปิดใจ คนที่พร้อมรับพระกิตติคุณ โดยไม่หวั่นเกรงสิ่งใด  ดังนั้นเมื่อเราประกาศ  เราต้องถามพระเยซู  พระองค์จะบอกให้เราทราบ  

 

           ผลก็คือ  เปาโลทำงานต่อที่โครินธ์นานถึง 1 ปี 6 เดือน  นับเป็นที่ที่ท่านปักหลักทำงานนานที่สุด มากกว่าทุก ๆ เมืองที่ผ่านมา  ท่านได้ผู้เชื่อมากมาย แม้พวกยิวจะพยายามยุยง กัลลิโอ ผู้ว่าแคว้นอาคายา ให้เล่นงานเปาโล   กัลลิโอก็ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับพวกยิว ( กจ. 18:12-16 )  เยี่ยมไหมล่ะครับ

 

           สรุปน่ะครับ

 

 1. ในการรับใช้   ให้เรามีเป้าหมายชัดเจน   อ่านน้ำพระทัยว่าพระเจ้าจะให้เราทำอะไร  

2. จริงจังกับเป้าหมายนั้น  ทุ่มเท  ตระหนักว่านั่นคือสิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำ  จนสำเร็จ

3. ขณะที่เรามองไม่เห็นความสำเร็จ   อ่อนกำลัง   อย่าลืมว่าพระเยซูอยู่เคียงข้าง  ร่วมรบกับเรา หนุนใจเรา

4. ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต   ไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดกับเราได้ 

5. พระเยซูทรงเป็นเสนาธิการ   เราต้องถามพระองค์    หยุด  ทำต่อ  เปลี่ยนที่  หรือ กลับมาใหม่  

6. พระเจ้าจะช่วยให้เราประสบชัยชนะแน่นอน   

 

              ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

 

 



Visitor 213

 อ่านบทความย้อนหลัง