|
อาจารย์ สุขพงศ์น้อย(2)
ศบ.
ขอเล่าคำพยานของ ศาสนาจารย์สุข พงศ์น้อย ซึ่งท่านได้อัดเทปไว้ เพียง 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่พระเจ้าทรงเรียกท่าน ให้ "กลับบ้าน" ใน 1 มิถุนายน 1972 (ต่อจากฉบับที่แล้ว)
พอตกกลางคืนข้าพเจ้าอธิษฐานอย่างหนัก ข้าพเจ้าได้ยื่นคำขาดต่อพระเจ้าว่า "พระบิดาเจ้า ถ้าหากพระองค์ ไม่ตอบคำอธิษฐานของข้าพระองค์ในคืนนี้ พรุ่งนี้ข้าพระองค์ก็จะ เก็บข้าวเก็บของเดินทางกลับกรุงเทพ และเลิกเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ไปทำงานอย่างอื่น ไม่เป็นศิษยาภิบาลอีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์ยอมแพ้แล้ว"
แต่ในขณะที่ข้าพเจ้าอธิษฐานอย่างหนักในคืนนั้นเอง ได้เกิดพายุใหญ่รอบๆ โบสถ์ของข้าพเจ้า ในคืนนั้นข้าพเจ้าอยู่ในโบสถ์ตามลำพังคนเดียว ไม่มีใครอื่นอีกเลย นอกจากข้าพเจ้ากับพระเจ้า ข้าพเจ้ารีบไปปิดหน้าต่างเพื่อป้องกันลมกระโชกเข้ามา แต่เมื่อข้าพเจ้าชะโงกศีรษะออกไป ก็ไม่เห็นว่ามีลมพายุ กิ่งมะพร้าว และกิ่งไม้อื่นๆ ซึ่งอยู่รอบๆโบสถ์นิ่งสงบ ข้าพเจ้ารำพึงกับตนเองว่า หูของข้าพเจ้าจะผิดปกติไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงลมพายุพัด แต่เมื่อข้าพเจ้าชะโงกหน้าออกไปดู ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เหลวไหลสิ้นดี!!
ข้าพเจ้ากลับเข้ามาอธิษฐานต่อไปอีก แต่ในขณะที่ข้าพเจ้าเดินเข้ามานั้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกข้าพเจ้าอย่างแผ่วเบาว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าจงอย่ากลับไปกรุงเทพ แต่จงอยู่ที่นี่ต่อไป อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราจะแสดงให้เจ้าเห็นว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น เราจะสำแดงการของเราแก่เจ้า"
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลง และอธิษฐานว่า "พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์จะไม่กลับกรุงเทพ ถ้าพระองค์จะกระทำตามพระบัญชาของพระองค์" เสียงของพระองค์เป็นเสียงจริงๆ เป็นเสียงที่มาตามกระแสลมพายุที่พัดกล้า แต่ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงของพระองค์จากพายุนั้น
ข้าพเจ้ายังคงประจำคริสตจักรที่นั่น ต่อมาอีกสามเดือนเศษ นักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ได้มาเยี่ยมเยียนคริสตจักรของข้าพเจ้า เขาผู้นั้นคือ ดร.จอห์น ทรง เขาเทศนาวันละ 3 ครั้ง คือจาก เวลา 9-12 น. 14-17 น. 19-21 น. โดยมีข้าพเจ้าเป็นล่าม ต่างฝ่ายต่างก็เป็นหนุ่มด้วยกัน ตลอด 6 ชั่วโมงของการเทศนา บรรยากาศเต็มไปด้วยความประทับใจยิ่ง เขาเทศนาและร้องเพลงอย่างสุดเสียง แล้วก็มีคนออกมาร้องไห้หน้าห้องประชุม เป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้า ที่ได้เห็นคนออกมาหน้าห้องประชุม และสารภาพความผิดบาปของเขา
วันต่อมาอีก 5 วัน เราได้เพิ่มเวลาเทศนามากขึ้น เป็นวันละ 8 ชั่วโมง พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้าสถิตในจิตใจ ของผู้เข้าร่วมประชุม การฟื้นฟูอย่างแท้จริงจึงได้เกิดขึ้น ตลอดระยะเวลาต่อมาเกือบ 3 ปี มีคนกลับใจใหม่มาร่วมนมัสการที่คริสตจักรแห่งนั้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกๆ คืนวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าจะเป็นผู้เทศนา และสมาชิกคริสตจักรจะเป็นผู้เชื้อเชิญ แนะนำเพื่อนมาร่วมประชุม ข้าพเจ้าเป็นเพียงนางผดุงครรภ์ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิตใหม่ให้แก่มนุษย์
ทุกๆคืนวันอาทิตย์ จะต้องมีดวงวิญญาณอย่างน้อย 1 ดวงได้รับความรอดโดยพระโลหิตของพระคริสต์ ดังนั้นภายในไม่กี่เดือนต่อมาเราก็มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น จนโบสถ์ของเราคับแคบไป ข้าพเจ้าไม่เคยท้อถอยต่อไปอีกแล้ว ด้วยเหตุที่พระเจ้าทรงให้คำมั่นสัญญาว่า พระองค์จะทรงสำแดงการของพระองค์แก่ข้าพเจ้า ฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงทำการอยู่ในคริสตจักรของข้าพเจ้า คริสตจักรของข้าพเจ้าและสมาชิกทุกคนจึงเกิดการตื่นตัวด้วยพระวิญญาณของพระคริสต์ สมาชิกทั้งหลายจึงเริ่มนำดวงวิญญาณเข้าสู่อาณาจักรของพระองค์ คนรับเชื่อใหม่ก็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
การที่ข้าพเจ้าไม่ประสบกับความยุ่งยาก ก็เพราะพระเจ้าทรงปกปักรักษา และตระเตรียมสิ่งต่างๆเพื่อพระวิหารของพระองค์เสมอ พวกผู้ปกครองและมัคนายกของคริสตจักรมักกลัวว่าทางคริสตจักรจะมีเงินไม่พอจ่ายแก่ศิษยาภิบาล ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ท่านไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ จงเจาะกล่องออกเป็น 3 ช่อง ช่องแรกถวายเพื่อค่าใช้จ่ายของศิษยาภิบาล ช่องที่สองเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษา และเงินเดือนของภารโรงและช่อง 3 เพื่อการประกาศ ถ้าพระเจ้าทรงนำในการกระทำเช่นนี้ ก็จงทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องให้เงินเดือนแก่ข้าพเจ้า เพราะศิษยาภิบาลไม่มีเงินเดือน แต่ท่านเพียงถวายทรัพย์ลงในช่องที่จัดสรรให้แก่ศิษยาภิบาล การถวายทรัพย์ลงในช่องไหน ก็สุดแล้วแต่พระเจ้าทรงนำ ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ เราดำเนินกิจการ ต่างๆกว่า 3 ปี โดยไม่ต้องพึ่งพิงผู้ใด
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ข้าพเจ้าได้ย้ายไปประจำที่คริสตจักรในจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 10 ปี พระเจ้าสถิตอยู่กับคริสตจักรและสมาชิกที่นั่น มีคนหลายคนได้รับความรอด สมาชิกได้นำคนหลายคนมาเชื่อพระเจ้า
เราแน่ใจหรือว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา? เราจะแน่ใจก็ต่อเมื่อเราเห็นความกระตือรือร้นของสมาชิกคริสตจักร ถ้าหากสมาชิกเรานำคนหลายคนมาเชื่อพระคริสต์ ก็แสดงว่าพระเจ้าทรงกำลังทำการภายในเรา โดยทางเราและเพื่อเราพระองค์ตรัสว่า "เราจะอยู่กับเจ้าตลอดเวลา"
แต่ต่อมาอีกไม่นาน ข้าพเจ้าเริ่มคิดว่า ถ้าหากข้าพเจ้าทำงานเป็นศิษยาภิบาลแต่เพียงอย่างเดียว งานของข้าพเจ้าก็จะสำเร็จลงได้ยาก จริงอยู่ การทำงานเป็นศิษยาภิบาลประจำคริสตจักร เป็นสิ่งที่น่าชมเชยแต่ยังไม่เร็วพอ เพราะข้าพเจ้าอายุมากขึ้นทุกวัน ข้าพเจ้าจึงต้องทำงานอย่างรีบเร่งและจะต้องทำงานเพื่อพระเจ้ามากขึ้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงย้ายออกจากนครศรีธรรมราชไปร่วมงานกับ คณะ ซี.เอ็ม.เอ.มิชชั่น คณะ โอ.เอ็ม.เอฟ. คณะ ดับบลิว. อี. ซี. คณะ นิวไทรบส์ และคริสเตียนกลุ่มใหญ่ในหมู่บ้าน ชาวจีน กะเหรี่ยงและชาวไทยกลุ่มอื่นๆ ข้าพเจ้าปฏิบัติรับใช้พระเจ้าโดยใช้วิธีการประกาศเก่าๆ บอกคนถึงองค์พระเยซู คงเดิมซ้ำซ้ำซากซาก พูดถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่พระองค์ทรงช่วยโลก ให้ได้รับความรอด โดยการสละพระโลหิตของพระองค์ ข้าพเจ้ามักกล่าวว่า ผู้ใดที่เชื่อพระองค์จะมีชีวิตอันนิรันดรและจะไม่ถูกพิพากษา แต่จะได้อยู่กับโลกตลอดไปเป็นนิตย์
บางครั้ง เราพูดถึงพระกิตติคุณค่อนข้างซับซ้อนสับสน ฉันพูดฟังไม่สามารถเข้าใจพระกิตติคุณง่ายๆได้ เท่ากับทำให้ คนที่ควรจะได้รับความรอด กลับไม่ได้รับความรอด ข้าพเจ้าเชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่คริสเตียนไทยจะต้องออกไปประกาศที่เวียงจันทร์ หลวงพระบาง ปากเซ และเมืองอื่นๆในประเทศลาว ที่ประเทศเขมร มาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศพม่า ประชาชนพลเมืองในประเทศทางเอเชียอาคเนย์เหล่านี้ กำลังกระหายพระกิตติคุณของพระคริสต์ซึ่งเป็นกิตติคุณอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยโลกให้รอดได้ รายหมู่บ้านหลายจังหวัดในประเทศไทยยังไม่เคยได้ยินได้ฟังพระกิตติคุณของพระคริสต์เลย
ในกรุงเทพ และในท้องที่ที่มีคริสตจักรแล้วประชาชนในเขตเหล่านี้ ได้ยินพระกิตติคุณมามากมายหลายครั้ง แต่ประชาชนในเขตอื่นๆ นับจำนวนหลายพันหลายล้านคน ไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณเลย คริสตจักรกำลังดำเนินงานผิดพลาดหรือถูกต้องกันแน่? คริสตจักรให้พระกิตติคุณจำกัดอยู่ในขอบเขตของคริสตจักรเท่านั้น เราให้พระกิตติคุณอยู่ในแวดวงของ
คริสตจักร อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า เราไม่เคยนำคนให้มาพบความรอดเลย เราจะต้องออกไปแสวงหาผู้ที่ยังไม่ได้รับความรอด ซึ่งไม่ได้หมายความว่า นักเทศน์หรือผู้ประกาศเท่านั้นที่จะต้องออกไปประกาศ แต่ทุกคนในคริสตจักรจะต้องตื่นตัวออกไปประกาศพระกิตติคุณ
นี่แหละเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า จากจะต้องตื่นตัวสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้า ถ้าหากทุกคนในคริสตจักรกระตือรือร้น ในการแสวงหาดวงวิญญาณใหม่ๆอยู่เสมอ ก็แสดงว่า คริสตจักรนั้นเป็นคริสตจักรที่เข้มแข็ง คริสตจักรจะเข้มแข็งได้ ก็เพราะสามารถนำดวงวิญญาณมาสู่อาณาจักรของพระคริสต์ คริสตจักรที่สามารถนำดวงวิญญาณมาได้เป็นคริสตจักรที่มีชีวิต คริสตจักรที่ตายแล้ว ทำงานไม่ได้ ประดุจคนที่ตายแล้ว หรือคนไข้หนัก ข้าพเจ้าเองก็เคยล้มเจ็บหลายครั้งจนทำงานอะไรไม่ได้
ในทำนองเดียวกันถ้าหากที่จะจัดเต็มไปด้วยดวงวิญญาณที่ป่วยด้วยโรคบาป พวกเขาจะทำงานได้อย่างไร เขาไม่มีกำลังไม่มีจิตใจที่จะช่วยคนให้ได้รับความรอด เขาไม่มีความสามารถแม้เพียงจะคิดว่าจะช่วยคนให้รอดได้อย่างไร ตาของเขาบอด หูของเขาหนวก เขามองอะไรไม่เห็น ฟังอะไรไม่ได้ยิน "พระบิดาเจ้าข้าขอพระองค์ทรงโปรดเปิดตาของเราให้เห็นคนที่กำลังหลงหายไปทุกวัน"
พระเจ้าทรงต้องการให้คริสตจักรนำดวงวิญญาณเข้าสู่อาณาจักรของพระคริสต์มากขึ้น แต่คิดว่าจะทำไม่ได้ ถ้าหากคริสตจักรไม่ได้รับการฟื้นฟู และคริสตจักรจะรับการฟื้นฟูไม่ได้ ถ้าหากศิษยาภิบาลและผู้ประกาศยังไม่รับการฟื้นฟูตนเอง
ถ้าหากศิษยาภิบาลกำลังอธิษฐาน เขาก็จะพบคนที่จะอธิษฐานกับเขาด้วย และหลังจากพบคนแรก เขาก็จะพบคนที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หกมาอธิษฐานกับเขา จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา 21 ปี ที่ข้าพเจ้าเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักร 3 คริสตจักร ข้าพเจ้าสามารถกล่าวกับท่านได้ว่า ถ้าหากศิษยาภิบาลมีความศรัทธาอย่างแรงกล้า ซื่อสัตย์ และกระตือรือร้น มีจิตใจร้อนรนเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาก็จะพบคนที่จะร่วมงานกับเขาและทำงานเพื่อพระเจ้า
ขณะนี้ข้าพเจ้าเสมือนไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าจะสามารถทำงานเพื่อพระเจ้าได้อีกนานเท่าไร แต่ข้าพเจ้าจะพยายามกระทำภารกิจของข้าพเจ้าให้สำเร็จลงให้จงได้ จะขึ้นๆล่องๆจากเหนือจดใต้ จากตะวันตกจดตะวันออก ไปทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกจังหวัด เพื่อบอกประชาชนว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่จริงๆ ไม่ใช่เป็นความจริงแต่เฉพาะในพระคัมภีร์แม่พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่จริง แต่เราต้องพิสูจน์ว่า พระองค์ยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ในชีวิตจิตใจของเราหรือไม่
ข้าพเจ้าชอบเพลง "ผู้เป็น" (เพลงแห่งชีวิตคริสเตียนบทที่ 108) ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่ ข้าพเจ้ารู้เพราะว่าพระองค์สถิตอยู่กับข้าพเจ้า พระเยซูทรงอยู่ในเราเราก็สามารถบอกคนอื่นให้รู้จักพระเยซูผู้ทรงฤทธานุภาพผู้ทรงไว้ซึ่งความรัก ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
พระองค์มิใช่เป็นเพียงบุคคลที่ตายแล้ว ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือให้มาเล่าเรียนกัน จะเป็นประโยชน์อะไร ถ้าหากข้าพเจ้ามิได้เห็นพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตประจำวันของข้าพเจ้าจะเป็นประโยชน์อะไรที่ข้าพเจ้าได้เชื่อพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วและเชื่อคำสอนของพระองค์
แน่นอน คำสอนของพระองค์เป็นคำสอนที่ดีเลิศ ศาสนาต่างๆมากมายมีคำสอนที่ดีเลิศ แต่พระเยซูมิใช่ศาสนา พระเยซูมิใช่เป็นเพียงผู้สอน แต่พระองค์เป็นชีวิตที่อมตะ และทรงฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่ พระคริสต์ทรงมีอำนาจเหนือความตาย เหนือบาปเหนือมาร เหนือผีร้าย เหนือความเจ็บป่วย
แม้แต่ความเกียจค้านของเราเอง พระเยซูก็ทรงเปลื้องความหนักอกหนักใจของเรา ความเฉื่อยชา การขาดสติและพลัง เราต้องอยู่กับพระองค์วันต่อวัน เราต้องเดินกับพระองค์ และสนทนากับพระองค์ เพลงที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุดอีกเพลงหนึ่งคือ "เมื่อพระเยซูเข้าอยู่ในใจข้า" เป็นความจริงทีเดียวมิใช่เพียงคำสอนของพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า แต่เป็นพระเยซูผู้ทรงพระชนม์อยู่ที่สถิตอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า
พี่น้องในพระคริสต์ที่รักทุกท่านว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านและอยู่ภายในท่านท่านทั้งหลายจงเดินไปกับพระคริสต์ จนกระทั่งพระองค์เสด็จกลับมานำเรากลับบ้าน และจนกระทั่งพระองค์จะเสด็จมาปกครองอาณาจักรของพระองค์เป็นเวลา 1000 ปีหลังจากนั้น พระองค์ก็จะทรงพิพากษาคนตายและคนเป็น และแล้วเราก็จะมาถึงยุคพระที่นั่งใหญ่สีขาว
โอ ข้าพเจ้าคิดถึงความชื่นชมยินดีและความหวังอันน่าอัศจรรย์ และเฝ้ารอคอยอาณาจักรใหม่แผ่นดินใหม่ซึ่งมิใช่เป็นเพียงศูนย์กลางใหม่ในยุคปัจจุบัน แต่เป็นเมืองใหม่ กรุงเยรูซาเล็มใหม่ โลกใหม่ ที่เรากำลังจะได้อยู่อาศัย เราได้สูญเสียสวนเอเดนเดิม แต่เราจะได้รับสวนแห่งที่สอง ซึ่งเป็นสวนใหม่ในไม่กี่ปีข้างหน้า เรามุ่งหวังว่า พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จลงมาในไม่ช้า ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คริสเตียนทั่วโลกคงเตรียมพร้อมที่จะกลับบ้านกับพระองค์ พระองค์จะเสด็จมานำเรากลับบ้านเพื่ออยู่กับพระองค์ชั่วนิจนิรันดร นี่เป็นความหวังอันน่าตื่นเต้น.. ชีวิตใหม่ที่แท้จริงนั้น เราหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว นอกจากในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์องค์เดียวเท่านั้น สรรเสริญพระเจ้า เรากำลังรอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์ สรรเสริญพระองค์
อาเมน
|
|
|