รับส่วนในสภาพพระองค์

ศบ.

ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​พ้น​จาก​ความ​เสื่อม​โทรม ที่​มี​อยู่​ใน​โลก​นี้​เพราะ​ตัณหา และ​จะ​ได้รับ​ส่วน​ใน​สภาพ​ของ​พระ​องค์​

       (2 เปโตร 1:4) 

        คนไทยเราว่า  เป็นเนื้อคู่กัน มักมีรสนิยมเหมือนกัน

        คนเรามักแต่งงานกับคนที่เรารัก และศรัทธา เมื่อแต่งงานกันแล้ว เรามักหลอมนิสัยใจคอ เข้าด้วยกัน  เหมือนพระเยซูตรัสว่า  เขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไป  แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน  วันนี้เราเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์  เราน่าจะมีนิสัยเหมือนพระองค์เข้าไปทุกวัน

        เราที่เป็นผู้เชื่อ “รับส่วนในสภาพของพระองค์” ในภาษาอังกฤษคิงเจมส์   เขาใช้คำว่า  “Partake of Divine Nature”  พระคัมภีร์ฉบับอรรถาธิบาย ใช้คำว่า “พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า”  พระคัมภีร์ฉบับอ่านเข้าใจง่าย เขียนว่า “เพื่อเราจะได้รับสภาพที่เหมือนพระเจ้า”   ฉบับอมตธรรม  ใช้  “ทรงโปรดให้เรามีลักษณะเช่นเดียวกันกับพระองค์”  แปลว่า เราที่เป็นผู้เชื่อ อันเป็นเจ้าสาวของพระเยซู น่าจะรับพระลักษณะของพระองค์ยิ่งๆ ขึ้น 

ผมสอนเรื่องพระลักษณะของพระเจ้า  ซึ่งมี  2  ด้าน   

                           

 ด้านหนึ่งคือพระลักษณะด้านธรรมชาติ เช่น พระเจ้าทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น  ทรงประทับอยู่ทุกแห่งหน  ทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง  พระลักษณะเหล่านี้ของพระองค์  เป็นลักษณะของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า   เราซึ่งเป็นมนุษย์  ย่อมมิอาจรับลักษณะเช่นนี้มาเป็นของเรา  เช่น  เรามิอาจอยู่ที่เชียงใหม่ และอยู่ที่กรุงเทพฯ พร้อม ๆ กันในขณะเดียว  เรามิอาจล่วงรู้จิตใจของคนอื่น ถ้าเขามิได้พูดออกมา   เรามิอาจแลเห็นอนาคต หากพระองค์มิทรงเปิดเผยให้เรารู้  เรามิอาจวางมือรักษาโรคผู้ป่วยหากพระองค์ไม่รักษาเขา  เรามิใช่พระเจ้า  ที่เมืองอิโคนิยูม  เมื่อเซาโลรักษาคนง่อยหาย  เขากระโดดขึ้นเดินไป  ชาวเมืองตื่นเต้นมาก  จะนมัสการบารนาบัส และเซาโล  แต่ทั้งสองห้ามเขา  พูดว่า “เราเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย”  แล้วทั้งสองก็เชิญให้พวกเขามาหาพระเยซู ( กจ. 14:9-15)   เรามิใช่พระเจ้า   และไม่มีวันเป็นพระองค์  ดังนั้น  “การรับส่วนในในพระลักษณะของพระเจ้า”  ไม่น่าจะหมายถึง “พระลักษณะด้านธรรมชาติ”

      อีกด้านหนึ่ง  คือพระลักษณะด้านศีลธรรม   เช่น 

พระเจ้าทรงเป็นความรัก  เปาโลว่า “จงดำเนินชีวิตในความรัก  เหมือนดังที่พระคริสต์ทรงรักท่าน”( เอเฟซัส 5:1) เปโตรว่า  “แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นบริสุทธิ์  ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุก

 ประการ” (1 ปต. 1:15) พระเยซูตรัสว่า “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลาย จงเป็นคนดีรอบคอบ  เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (มัทธิว 5:48)เปาโลว่า  “บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้ว  จงดำเนินอย่างลูกของความสว่าง” (เอเฟซัส 5:8) ครับ  พระคัมภีร์มากมาย  ปรารถนาให้เรา เปลี่ยนนิสัย เหมือนพระเยซู

     เปโตรกล่าวว่า “เพื่อให้เรามีชีวิต  และมีธรรม... ให้เรา ​พ้น​จาก​ความ​เสื่อม​โทรม ที่​มี​อยู่​ใน​โลก​นี้​เพราะ​ตัณหา”

     คิดย้อนไปในอดีต  

    ก่อนเรารู้จักพระเจ้า  ชีวิตเราเสื่อมโทรม เพราะตัณหาชั่ว  ผมไม่ได้ว่าคนอื่น  ตัวผมเองก็ตกอยู่ในสภาพอย่างนั้น  ผมมีใจโลภ ผมใฝ่หาความมั่งคั่ง  ความหรูหรา  ผมคิดเห็นแต่แก่ตนเอง  ไม่สนใจใคร   จะเรียน จะกิน จะทำงาน ก็หมกมุ่นอยู่แต่จะทำอย่างไรให้ตนเองรุ่งเรือง   แล้วใจผมก็ไม่มีสันติสุข  ว้าวุ่น สับสน แม้ผมจะไม่ได้เสพเหล้ายา  ซื้อหวย เล่นการพนัน  เที่ยวไนต์คลับ เถิดเทิง แต่ผมก็สนใจแต่ตนเอง  ไม่สนใจน้ำพระทัยพระเจ้า หรือคิดจะช่วยเหลือเกื้อกูลใครทั้งสิ้น  คนเราเมื่อคิด เมื่อใฝ่ใจ เมื่อปฏิบัติ ครั้งแล้วครั้งเรา ก็ก่อให้เป็นนิสัย  คำว่า “เสื่อมโทรม”  แปลว่าตกลงในหลุมลึก  เหมือนรถตกหล่ม  พยายามเข็น แต่ อนิจจา  ยิ่งเข็นยิ่งถลำลงลึก เหมือนรถวิ่งลงเหว  ยิ่งลงยิ่งเร็ว  เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง  ยิ่งเล่น เข็มยิ่งเจาะลงไปในแผ่น ยิ่งง่ายที่จะตกลงไปในร่องเดิมง่ายในครั้งต่อ ๆ ไป  และยิ่งขึ้นมาจากร่องยากขึ้น   ผมก็ไม่แตกต่างไปจากเปาโลสมัยที่ท่านยังไม่พบพระเยซู “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง  เพราะข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ  แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลัยดชังนั้น” (โรม 7:15) ผมแพ้บาป แพ้แล้วแพ้อีก  ผมเคยปิดประตูขังตัวเองในห้อง และนั่งลงร้องไห้   

         วันหนึ่งผมพบพระองค์  พระองค์ประทานชีวิตใหม่ให้  ท่านที่รัก วันนี้ เรามีชีวิตใหม่ในพระเจ้าแล้ว  โดย การกลับใจ สารภาพผิด และวางใจการไถ่โทษบาปที่ไม้กางเขนของพระองค์   เมื่อเราก้าวเดินกับพระองค์ต่อไป  เปโตรกล่าวว่า  เราจะได้พ้นจากสภาพแห่งการเสื่อมสลาย  คือ หลุดจากนิสัยเก่า   และรับนิสัยใหม่  ลักษณะใหม่  สภาพใหม่

ของพระเยซู  เปลี่ยนแปลงจนเหมือนพระองค์   นี่ไม่ใช่การถ่ายเลือดเราออก  แล้วเอาพระโลหิตของพระเยซู  เพราะไม่มีใครทำอย่างนั้นได้  ลางคนเข้าใจผิดคิดว่า เราเปลี่ยนเมื่อเรารับศีลมหาสนิท  เมื่อเราดื่มน้ำองุ่น ซึ่งเล็งถึงพระโลหิตของพระเยซู  สัญลักษณ์ คือสัญลักษณ์   เป็นภาพเปรียบเทียบ  มิฉะนั้น ท่านคงต้องสวมเสื้อชอบธรรมตัวใหม่  สมรสใหม่  สวมแหวนวงใหม่  ยุ่งเหยิงกันไปหมด

                        

แต่เป็นการเปลี่ยนนิสัยใหม่ตามพระองค์ต่างหาก

         พระเยซูปั้นยอห์นให้เป็นสาวกแห่งความรัก

         คนเราใกล้ชิดใครที่เราศรัทธา  เราย่อมเปลี่ยนนิสัยตามคนนั้น  ยอห์นและยากอบ ฉุนชาวสะมาเรียที่ไม่ออกมาต้อนรับพระองค์  บอกพระองค์ให้สั่งไฟมาจากฟ้ามาเผา คนพวกนี้เสียให้สิ้น  แต่พระองค์กลับห้ามปรามเขา (ลูกา 9:52-55)  พวกเขาโกรธเกรี้ยว เมื่อพระองค์มิได้ทรงโมโหโทโสตามเขา  ครั้งต่อไปเขาคงรู้แล้วว่า  ฉุนอย่างนี้ไม่ถูก 

        พระเยซูสร้างความถ่อมใจให้สาวก

        สาวกพระเยซูเกี่ยงกัน  ในงานเลี้ยง  ไม่มีใครยอมลดตัวไปล้างเท้าใคร  พอพระเยซูทรงถ่อมพระทัยไปล้างเท้าพวกเขา   พวกเขาเริ่มเรียนรู้แล้วว่า ทะนงตัวท่ามกลางพี่น้อง  ไม่ใช่สิ่งที่ทรงโปรด เขาสวมนิสัยใหม่ (ยอห์น 13:1-15)

                   

พระเยซู แบบอย่างบุรุษแห่งความกล้าหาญ

        ที่สวนเก็ธเซมาเน  เหล่าสาวก หนีกระเจิดกระเจิง เมื่อพระเยซูถูกอายัด  พวกยิวนำทหารจับพระองค์ไปไต่สวน และตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ชักชวนให้เขาอธิษฐาน  เพื่อพวกเขาจะไม่พ่ายแพ้การทดลอง   แต่พวกเขากลับหลับปุ๋ย  ครั้นการทดลองมาถึง พวกเขาก็หนีเอาตัวรอด   ยกเว้น ยอห์น  หลังเหตุการณ์เหล่านี้  พวกเขานึกย้อน  เห็นความกล้าหาญของพระเยซู  ในการเผชิญกางเขน  พวกเขาเปลี่ยนนิสัยตามพระองค์  เรากล้าหาญเมื่อเราอยู่กับคนกล้าหาญ  เราเข้มแข็งขึ้นเมื่อ เราอยู่กับคนที่เข้มแข็ง   เมื่อพระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว  เราเห็นภาพความกล้าหาญของสาวก  พวกเขาไม่ขลาดกลัวอย่างในอดีตอีก  แต่ละคนพร้อมพลีชีพเพื่อพระเยซูทั้งสิ้น 

         เวลาคนยิวมาซักถามจับผิดพระองค์  พระเยซูไม่เคยเสียศูนย์   ไม่เคยหลุด ตรงกันข้าม พระองค์มั่นคง  ตอบพวกเขาอย่างมีหลักเกณฑ์  ด้วยความรัก ด้วยพระทัยเมตตา  ให้ความจริงกระจ่างชัดทุกครั้งไป  ไม่แปลกที่พอพวกยิว  ไต่สวนเปาโล  และยอห์นกลางสภาสูง  ว่าทั้งสองเอาอำนาจใดมารักษาคนง่อย ในพระวิหาร  ทั้งสอง

                                  

กล้าหาญ มั่นคง ทั้งชี้แจงว่า พระเยซูที่พวกเขาจับตรึงที่ไม้กางเขนนั่นเอง รักษาคนง่อยที่ยืนอยู่กลางสภา   จนพวกเขาตระหนักว่า “ทั้งสองกล้าหาญ  แม้เป็นคนสามัญและขาดการศึกษา  แต่เพราะทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” (กิจการ 4:13) 

       พระเยซู “ทรงโปรดให้ สาวกมีลักษณะเช่นเดียวกันกับพระองค์”  

       วิธีที่ เราจะรับเอาพระลักษณะของพระองค์  ก็คือการดูแบบอย่างพระองค์  ในเรื่องต่าง ๆ หากเราดูแบบอย่างพระองค์ด้วยใจศรัทธา  นิสัยเราจะเปลี่ยนเหมือนพระองค์มากขึ้น

       พระเยซูสอนผมผ่านทางเพื่อน

        พระธรรมสุภาษิต 27:17  กล่าวว่า “เหล็กลับเหล็กได้  คนหนึ่งก็ลับเพื่อนของตนได้”  

        ครั้งหนึ่งผมพาเคลวิน  เพื่อนชาวนิวซีแลนด์ไปนคร  ด้วยใจอยากพาเขาออกเที่วตระเวนรอบเมือง  ผมก็พาเขาขึ้นนั่งรถสามล้อ  สมัยนั้นจากสถานีรถไฟ ไปในเมืองบ้านผม  ค่ารถแค่สามบาท  วิ่งวนรอบเมือง 1 รอบ สามล้อคิด 20 บาท  ผมคิดว่ามันแพงเว่อเกิน  ก็ต่อราคากับรถสามล้อคันนั้น   เคลวินเขาถามผมว่าต่อราคาทำไม  เขาสงสาร คนขับสามล้อ  แต่ผมคิดแค่ในเชิงสมราคา  ผมอดไม่ได้ มานั่งทบทวนใจตนเอง  แล้วก็อายใจตัวเองที่เอาความรัก ความเห็นใจคนอย่างพระเยซูไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้    

อีกครั้งหนึ่งเราไปกินอาหารด้วยกัน  บ๋อย เด็กเสิร์ฟ เอาเมนูอาหารมาให้อ่าน  ผมก็วางตัวกับบ๋อย อย่างลูกค้ามีมาด  ให้บ๋อยโค้งพินอบพิเทา  อย่างคนใช้กับเจ้านาย  ผมหันไปดูเคลวิน  เขาหันไปคุยกับบ๋อย อย่างน้องของเขา  ให้เกียรติเขา  ผมไม่เคยเห็น  ผมไม่เคยคิด  บ๋อย คงเจอคนอย่างผมเยอะในร้านอาหาร  แต่ไม่เคยเจอคนอย่างเคลวิน  และผมก็ไม่เคยนึกจะวางตัวกับบ๋อย อย่างนั้นด้วย  ผมทำตัวกับเขาเหมือน บ๋อยเป็นคนละชั้น  ต่างระดับกับผม  หลังจากวันนั้น ผมมานั่งพินิจพิจารณาตัวเอง  แปลกแต่จริง เวลาเราไปประกาศ  เป็นพยาน  เราเดินไปตามซอกซอย  เราพยายามสร้างมิตร ต่อสะพาน สร้างความสัมพันธ์   แต่พอนั่งในร้านอาหาร   มาดเจ้านายมันขึ้นมาครองตัวเรา อย่างประหลาด  ทั้ง ๆ บ๋อยเขาก็คือ คนที่ต้องการยินคำพยานของเราด้วย  ผมกลับใจครับ

                 

เมื่อตอนอยู่ ที่แฟรงค์เฟิสท์  ประเทศเยอรมัน  พวกเรา 50-60 คนพากันออกไปประกาศ หน้าศูนย์การค้ากลางกรุง  เล่นละคร เป็นพยาน เทศนา  ผมอายมาก  คีท วอริงตัน  เป็นหัวหน้าทีม  ผมไม่เห็นเขาอาย  เขาวางมือรักษาคนง่อยที่นั่งรถเข็นมา  ทีละคน ๆ  อธิษฐานเสร็จ  คีทพยายามจูงเขาเดิน  ผมกลัวเขาไม่หาย  เฝ้าดูห่าง ๆ  ผมนึกชมคีท  ว่าช่างกล้าหาญชาญชัยเสียจริง  ผมชอบเขา  ชอบความกล้าของเขา  กลับมาเมืองไทย  ผมก็ทำบ้าง  ความหล้าของคีท  หลอมใจผมจริง ๆ 

     เคลวิน และ คีทช่วยให้ผม เปลี่ยนนิสัย  

    การใกล้ชิด ทำให้เราถ่ายทอดนิสัย  ความรู้สึกนึกคิด โดยไม่รู้ตัว 

    ผมนึกถึงพระดำรัสพระเยซู  เรื่องสามีภรรยา  พระองค์ตรัสว่า “เขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไป  แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน” (มัทธิว 19:6)   สามีภรรยาแต่งงาน  อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ เรามักได้ยินว่า  เป็นเนื้อคู่กัน มักมีรสนิยมเหมือนกัน   ความจริง ตอนเลือก ทั้งสองต้องรักศรัทธา อะไรในตัวเขา ถึงได้เลือก  แต่พออยู่ด้วยกัน ทั้งสองมักปรับนิสัยให้เหมือนกัน ยิ่งๆ ขึ้นทุกวัน  ทำนองเดียวกัน  เรารักศรัทธาพระองค์  เมื่อเข้ามารับเชื่อ  เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์  จากนั้น เมื่อเราใกล้ชิดพระองค์ ผู้ที่เรารักศรัทธา เราก็น่าจะเหมือนพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น  นี่คือการ “รับส่วนในสภาพพระองค์”มิใช่หรือ

       ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ   

 



Visitor 298

 อ่านบทความย้อนหลัง