|
คนเป็นท่ามกลาง คนตาย
บทความวันอีสเตอร์
ศบ.
ชายสองคนนั้นจึงพูดกับเขาว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี ว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่’ (ลูกา 24: 5-7)
เช้ามืดวันอีสเตอร์แรก พวกผู้หญิง ที่มีใจศรัทธาในพระเยซู พวกเธอรักและอาลัยพระองค์อย่างยิ่ง พากันจัดเตรียมเครื่องหอม เพื่อไปชโลมพระศพพระเยซู พวกเขาจะทำได้อย่างไร เพราะหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นใหญ่ และหนักเกินแรงผู้หญิง พวกเธอมิอาจกลิ้งมันออกไปได้แน่ แต่พอไปถึงที่นั่น พวกเธอพบว่า หินที่ปิดปากอุโมงค์ กลม ๆ ขนาดใหญ่นั้น ได้กลิ้งออกไปแล้ว ด้วยความฉงนสนเท่ห์ พวกเธอพากันเข้าไปในอุโมงค์ แต่พวกเธอไม่เห็นพระศพ กลับเห็นอุโมงค์ว่างเปล่า ยิ่งงงกันใหญ่ ใครมาลักพาพระศพของพระเยซูไป และเอาพระศพไปไว้ที่ไหน ขณะที่พวกเธองุนงงกันอยู่นั้น ก็มีชาย 2 คน มายืนใกล้ๆ เสื้อผ้าแพรวพราว พร่าตา มัทธิวบอกว่าสองคนนี้ คือทูตสวรรค์ (มธ 28:5) พอพวกเขาเห็นเท่านั้นก็ซบหน้าลงถึงดิน ทูตสวรรค์จึงกล่าวกับพวกเธอว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็น ในพวกคนตายทำไมเล่า พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว”
วันนั้น พวกเธอปรารถนาจะพบพระเยซู และพวกเธอไปหาที่อุโมงค์ฝังศพ หาพระองค์ผิดที่ผิดทาง จึงไม่พบพระองค์ ครับ ไม่เพียงแต่หาพระองค์ผิดที่เท่านั้น พวกเธอนึกภาพพระเยซูผิดเสียด้วย เธอนึกภาพว่าจะเห็นพระองค์เป็นศพ มีผ้าลินินพันอยู่ อย่างที่เธอเห็นก่อนปิดปากอุโมงค์ เพราะย้อนหลังไป 3 วันก่อน หมอลูกาเล่าว่า “ฝ่ายพวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลี ก็ตามไป และได้เห็นอุโมงค์ ทั้งได้เห็นที่เขาวางพระศพไว้อย่างไรด้วย” (ลูกา 23:55)
วันนี้ถ้าท่านอยากรู้จักพระเยซู และท่านคิดว่า พระองค์คือ ศาสดา ของคริสต์ศาสนา ท่านไปค้นหาพระองค์ในตำราศาสนาเปรียบเทียบ โทษที ท่านค้นหาพระองค์ผิดที่ เริ่มต้นท่านก็เข้าใจภาพพระองค์ผิดเสียแล้ว ผมเคยอ่านตำราศาสนาเปรียบเทียบ เขาเขียนว่าอย่างไร เขาว่าพระองค์คือศาสดาของศาสนาคริสต์ เผยแพร่คำสอน มีสาวกติดตามมากมาย ภายหลังพระองค์ถูกพวกยิวนำไปฟ้องปีลาต ข้าหลวงของโรมที่มาปกครองยิว พระองค์ถูกตัดสินให้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ชาวคริสต์เชื่อกันว่า หลังจากนั้นสามวันพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตาย ครับ ผู้เขียนตำรามิได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่เชื่อว่าพระองค์คือนักธรรมที่ดีคนหนึ่ง เมื่อตายแล้วก็จบกัน ยังแถมท้ายอยู่นิดนึง ว่า “ชาวคริสต์เชื่อกันว่า..พระเยซูเป็นขึ้น” (แต่ผู้เขียนไม่เชื่อครับ) นี่คือการพยายามค้นหา “คนเป็น ท่ามกลางคนตาย” ทูตสวรรค์บอกแล้ว ว่าพระองค์มิได้อยู่ที่นี่
วันนี้ มีทัวร์จัดเที่ยวประเทศอิสราเอล ซึ่งดีมาก ผมเคยไปทัวร์ประเทศอิสราเอล 7 วัน ผมไม่ได้พักที่โรมแรม แต่เราไปนอนในโบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็ม 3 คืน ไปนอนพักโดยตั้งเต็นท์ที่ริมทะเลตาย คืนหนึ่ง พักที่ริมทะเลสาบกาลิลีคืนหนึ่ง ตอนนั้น อากาศร้อนจริง ไปพักที่เมืองไฮฟา คืนหนึ่ง ผมไปเยี่ยมชมสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่พระเยซูประสูติที่เบธเลเฮ็ม ไปเยี่ยมเมืองนาซาเร็ธ สถานที่พระเยซูเติบโต ไปชมเมืองคาฟารนามอูมที่พระองค์สั่งสอน และทำการอัศจรรย์มากมาย ผมนั่งเรือในทะเลกาลิลี กินปลาที่จับขึ้นมาจากกาลิลี ไปชมสวนเก็ธเซมาเน ที่พระเยซูอธิษฐาน ถูกอายัด ไปยังกับบาทาที่พระเยซูถูกไต่สวน ไปดูโฆละโกธา เนินเขาที่พระเยซูถูกตรึง และไปชมอุโมงค์ฝังพระศพ ผมไปร่วมประชุมประชุมนมัสการ หน้าอุโมงค์ตอนเช้าวันอาทิตย์ ฟังนักเทศน์ชาวดัสท์เทศนา ทั้งหมดที่เล่ามานี้ นับว่าเยี่ยมยอด ผมประ ทับใจมาก แต่ถ้าจะถามผมว่าผมพบพระเยซูจากการไปทัวร์นั้นหรือไม่ ก็ต้องรับว่า การพบพระเยซู กับการไปทัวร์สถานที่ที่พระเยซูเคยประทับอยู่นั้น เป็นคนละเรื่อง
“พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่”
การพบพระเยซู เราได้รับความรอด มีสันติสุข และความอิ่มเอม
บางคนแสวงหาพระองค์ จากเหล้า ยา ปลา ปิ้ง บริษัทเหล้าแบรนด์หนึ่ง โฆษณาว่า เขาให้ “ความสุขที่คุณดื่มได้” กับลูกค้า ถ้าดื่มเหล้ายี่ห้อของเขา หลายคนเสาะหาความสุขจากการตระเวนไปกินอาหารชั้นเลิศ ที่เขาโฆษณาในกูเกิล แต่เปาโลกกล่าวว่า แผ่นดินของพระเจ้าไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณ
บางคนแสวงหาพระเจ้า โดยมองที่วัตถุภายนอก ถ้าเรามีวิหารหลังงาม มีโบส์สวยหรู มีไม้กางเขนอันใหญ่ มีเครื่องดนตรีในพระวิหาร ที่ก้องกังวาน มีนักร้องประสานครบทุกเสียง ผมเคยไปยุโรปหลายประเทศ แต่ละเมืองมักมีมหาวิหารที่สวยสง่า สร้างโดยการออกแบบของสถาปนิกที่มีชื่อเสียงในอดีต มีแก้วโมเสก หลากสีที่ช่องแสงของหน้าต่าง และประตูทุกบาน เสาในโบสถ์มีการแกะสลักสวยงาม มีโคมไฟระย้าห้องลงมาจากฝ้าสูง ผมเคยไปพักอยู่ในวิหารหลังหนึ่งที่เมืองแฟรงค์เฟิสท์ ประเทศเยอรมัน พวกเรานอนพักที่ใต้ถุนโบสถ์ (ห้องใต้ดิน) ศบ. น่ารักมาก ผม และเพื่อนๆ ในทีม พักอยู่ที่นั่นเดือนหนึ่ง ทุกวันเราออกไปประกาศในเมือง วันอาทิตย์ผมเข้าร่วมประชุมในวิหารหลังนี้ โอ่โถงมาก มีม้านั่งให้คนนั่งได้หลายร้อยคน แต่มีคนมาร่วมประชุมไม่ถึง 20 คน ผมอดคิดไม่ได้ว่า วิหารหลังใหญ่ช่วยให้คนพบพระเยซูหรือเปล่า ผมมิได้หมายความว่า ใครจะพบพระองค์ที่นี่ไม่ได้ แต่ ผมหมายความว่า วิหารหลังใหญ่มิได้เป็นเหตุให้คนพบพระเยซู
เรามีเรื่องราวพระเยซูจากพระคัมภีร์ เป็นสื่อให้เรารู้จักพระองค์ แต่แค่การอ่านพระคัมภีร์ และเสาะหาพระองค์อย่างนักประวัติศาสตร์ อย่างนักธรรม อย่างผู้เผยพระวจนะ เราก็จะไม่พบพระองค์ เป็นการ “แสวงหาคนเป็น ในพวกคนตาย พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นั่น” พระเยซูเคยตรัสกับพวกยิวว่า “ท่านทั้งหลายค้นดูในพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์เป็นพยานให้แก่เรา แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเรา เพื่อจะได้ชีวิต” (ยอห์น 5:39-40)
แปลกแต่จริง พวกยิวรอคอยพระเยซูมานับพันปี มีคำทำนาย ว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาช่วยพวกเขา มีการฆ่าสัตวบูชา ให้เห็นภาพว่า พระองค์เสด็จมาเป็นแพะรับบาปแทนมนุษย์ แต่ภาพที่คนยิวคิดถึงพระองค์ คือ ภาพพระเยซูจอมกษัตริย์ ผู้เสด็จมาช่วยกู้พวกเขา จากการตกเป็นขี้ข้าของโรม เป็นพระเอกขี่ม้าขาว ภาพที่เขาคิดฝันคืออัศวิน ไม่ใช่ลูกช่างไม้ยากจนในเมืองนาซาเร็ธ ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม เมือตาเพ่งอยู่อย่างนี้ สอดส่ายหาอย่างนี้ พอพระองค์เสด็จมา พวกเขาจึงแลไม่เห็นพระองค์ หนักไปยิ่งกว่านั้น พวกเขา ผู้แสวงหายังจับพระองค์ตรึงที่กางเขนเสียด้วย หลายครั้งเรามักอยากพบพระองค์ในภาพที่เราวาดเอาไว้แล้ว มโนไว้ในสมองแล้ว พิมพ์จารึกไว้ในความคิดแล้ว เหมือนพวกผู้หญิงคิดว่า พระองค์คงอยู่ในอุโมงค์ เขาแลเห็นภาพมัมมี่ มีผ้าลินินพันรอบกายอันแน่นิ่ง ไม่ไหวตัว เมื่อไม่พบพระองค์จึงงุนงงไปหมดพวกเธอหาพระองค์ผิดที่ และเป็นคนละภาพกับที่พวกเธอคิด ทูตสวรรค์บอกเธอว่า
“พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว”
พระองค์ไม่ได้ อยู่ที่อุโมงค์ หรือสุสานของบรรพบุรุษทั้งหลายที่เกิดมา และจากโลกนี้ไป ไม่ได้อยู่ในรายชื่อศาสดาของศาสนา ไม่ได้อยู่ในรายชื่อของคนสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ได้อยู่พระวิหารโอ่อ่า ในสถานที่สำคัญของประเทศอิสราเอล ครับ ไม่ได้อยู่ในกระดาษหนังสือพระคัมภีร์ แม้ว่า พระคัมภีร์เป็นพยานให้เรารู้จักพระเยซู แต่พยานก็ไม่ใช่พระเยซู
เพราะพระองค์ “ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว”
เราต้องหาพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่
รู้จักพระองค์เสียใหม่ พระองค์มิใช่บุรุษในอดีตของประวัติศาสตร์ ที่
เราเล่าขาน นำเอาชีวประวัติมาทบทวน เป็นอุทาหรณ์สอนใจ อย่างชีวประวัติบุคคลสำคัญ แต่ทรงเป็นอยู่กับเราใจปัจจุบัน เป็นพระเจ้าที่สถิตกับเรา
ในวันอีสเตอร์ มารีย์มักดาลาพบพระเยซูก่อนคนอื่น พวกผู้หญิงพบพระองค์ในสวน สาวก 2 คนที่เดินทางไปหมู่บ้านเอ็มมาอูส พบและเดินสนทนากับ พระเยซู จนกระทั่งไปนั่งรับประทานอาหารกับพระองค์
ในคืนวันอีสเตอร์ สาวก 10 คนพบพระเยซูในห้องชั้นบน พวกสาวก ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ จากนั้นสาวกพบกับพระเยซูอีกหลายครั้ง บางครั้งก็ 7 คน บางครั้งก็ 11 คน สาวกพบพระเยซู 500 คน ที่กาลิลีในคราวเดียวกัน ก่อนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระเยซูพบกับสาวก 120 คนที่ภูเขามะกอกเทศ ทรงพบกับเซาโลระหว่างทางที่ไปยังดามัสกัส แล้วพระองค์ซึ่งเป็นขึ้นจากตาย ก็พบกับผู้เชื่อที่เปิดใจของตนออก เป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน ครับ เป็นล้านๆ คนในปัจจุบัน พระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา” (วิวรณ์ 3:20)
จอห์น มาเซฟิลด์ เขียนบทละคร เรื่อง “การไต่สวนพระเยซู” ผมคัดข้อความตอนหนึ่งมาให้อ่าน
เมื่อ ลองจินุช นายร้อยของทหารโรมัน ผู้คุมทหารที่พาพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขนกลับมาหาปีลาต เขากลับมารายงาน ภารกิจที่รับมอบหมาย หลังจากรายงานแล้ว โปรคิวลา ภรรยาของปีลาต ขอร้องให้นายร้อยช่วยเล่ารายละเอียดให้เธอฟังว่า พระเยซูวายพระชนม์อย่างไร พอนายร้อยเล่าจบ เธอถามขึ้นมา
“คุณคิดว่า พระองค์วายพระชนม์จริง ๆ หรือ”
“ไม่หรอกครับ นายผู้หญิง” ลองจินุช ตอบ “ผมคิดว่า ไม่น่ะ”
“เอ้า ! แล้วพระองค์ไปอยู่ที่ไหน?”
“พระองค์หลุดออกไปในโลกน่ะครับ นายผู้หญิง หลุดออกไปสู่โลกที่โรม และยิว ไม่อาจยับยั้งความจริงของพระองค์ได้”
จากวันนั้น พระเยซูหลุดเข้าไปยังใจคนที่เยรูซาเล็ม จูเดีย สะมาเรีย อันทิโอก ไซปรัส กรีซ อียิปต์ โรม อเมริกาเหนือ อเมริเกาใต้ อัฟริกา อาเซีย ออสเตรเลีย ไม่หยุดยั้ง ผ่านมา 20 ศตวรรษ วันนี้พระองค์ไปสู่หัวใจของคนทั่วโลก รวมทั้งใจของคนไทยด้วย ทรงประทับกับคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ในคอนโด ในทาวเฮาท์ บนตึกระฟ้า ในสลัม ในเรือนจำ ในตลาด ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ในสภา ในวัง ในที่กันดาร บนเขา บนดอย บนเกาะ บนแก่ง ในหุบเขา ในถ้ำ ในสวนสาธารณะ ในใจของเด็กน้อย วัยรุ่น หนุ่มสาว คนทำงาน แม่บ้าน นักธุรกิจ ครู นักการเมือง นักเขียน สาว แก่ แม่ม่าย ในใจของทั้ง แขก จีน ไทย ฝรั่ง ทั้งคนผิวดำ ผิว ขาว ผิวเหลือง พระองค์ประทับอยู่กับ ช่างเชื่อม ช่างก่อสร้าง สถาปัตนิก วิศวกร ชาวนา ชาวสวน พ่อค้าแม่ขาย พระองค์ไม่ได้อยู่ที่อุโมงค์ฝังศพของคนตาย แต่พระองค์ “ผู้เป็น” ทรงประทับอยู่ในใจเรา อยู่กับเรา สนทนากับเราทุกวัน ทุกเวลา หนุนใจเวลาเราท้อ ชี้ทางเวลาเรามืดมน เตือนสติเวลาเราจะทำผิด เสียพระทัยเวลาเราออกนอกทาง ชื่นชมเวลาเราเชื่อฟัง และเสริมพลังเวลาเราเผชิญปัญหาหนัก
สิ่งที่พระองค์สัญญาไว้ เป็นจริง
ทูตสวรรค์ติง พวกผู้หญิงที่จะไปหาพระองค์ที่อุโมงค์ว่า พวกเธอลืมพระดำรัส ที่พระองค์เคยตรัสที่กาลิลีว่า
‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่
พวกผู้หญิงผิดพลาด เพราะพวกเธอลืมสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา พระองค์ไม่เคยผิดสัญญา หลังการถูกตรึง วันที่สาม คือวันอีสเตอร์ พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย จริงตามพระสัญญา ไม่ผิดพลาด วันนี้ เราก็เชื่นเดียวกัน ไม่ควรพลาด ไม่ควรลืมพระสัญญา ตรงข้าม เราสมควรเชื่อถือวางใจสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา
พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อ และรับบัพติสมา แล้วผู้นั้นจะรอด … มีคนเชื่อที่ไหน หมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั่น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลก ๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา เขาจะวางมือบนคนไข้ คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค …. นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มาระโก 16:15-18 มัทธิว 28:20)
เพราะพระเยซู ผู้เป็น ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ ทรงอยู่กับเรา ทรงสัญญาว่าจะร่วมมือเมื่อเราออกไปประกาศ เมื่อเรานำให้คนมารู้จักพระเยซู ดังนั้นให้เรากล้าหาญ ออกไปช่วยคนทั้งหลาย พระองค์ทรงสัตย์ต่อพระสัญญาอย่างแน่นอน
สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ
|
|
|