อัน ยี สุข “ถ้าฉันพินาศ”

 

ศบ.


ผมเพิ่งอ่านเรื่องราวของ อัน ยี สุข หญิงสาวคริสเตียนชาวเกาหลีคนหนึ่ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่กองทัพญี่ปุ่น เข้ามายึดครองประเทศเกาหลี มีการข่มเหงคริสเตียนอย่างหนักหน่วง ในสภาพของผู้หญิงสาว ร่างบอบบาง เธออุทิศชีวิต เพื่อช่วยพี่น้องคริสเตียนเท่าที่ทำได้ ทั้งทำงานยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งร่วมกับ ผู้ปกครองปาร์ค ชายรุ่นพ่อ เพื่อยับยั้งการข่มเหงนั้น ยังผลให้การข่มเหงลดลง เธอถูกขนานนามว่า เอสเธอร์ ของชาวเกาหลี ผู้กล่าวว่า “ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ”


อัน ยี สุข เกิดในปี 1919 ที่กรุงโซล เธอเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐี เจ้าของกิจการด้านอุตสาหกรรม เป็นครูสอนวิชาดนตรีในโรงเรียนคริสเตียน เธอมีพี่สาว 2 คน
ในช่วงหลังปี 1930 กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้ายึดแมนจูเรีย และเริ่มประกาศสงครามกับประเทศจีน ประเทศเกาหลีจึงเป็นยุทธภูมิทางผ่าน เพื่อเคลื่อนทัพเข้าไปโจมตีแมนจูเรีย และจีน การทำกับเกาหลีอย่างหฤโหด ในยุคนั้น ก็เพื่อเขย่าขวัญประเทศเหล่านี้ นี่เป็นเหตุให้ชาวเกาหลี เรียกช่วงปี 1939-1945 ว่าเป็นยุคมืดของเกาหลี
กองทัพญี่ปุ่นเข้าไปยึดทรัพย์สินของราษฎรตามใจชอบ ทั้งอาหารและเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ หนุ่มสาวชาวเกาหลีเกือบทุกคน ถูกบังคับให้ไปทำงานในค่ายทหาร เรียนภาษาญี่ปุ่น เปลี่ยนนามสกุลจากภาษาเกาหลี เป็นญี่ปุ่น คนส่วนมากยอมทำตามคำสั่ง เพราะการขัดขืน คือตกงาน หรือไม่ได้เรียนหนังสือ
คริสเตียนชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่อาจยับยั้งรัฐบาลในยุคนั้นของตน
อัน ยี สุข มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นดี “ฉันรู้จักคนญี่ปุ่นดีกว่าคนเกาหลีทั่วไป เพราะพ่อซึ่งไม่เป็นคริสเตียน ตั้งใจส่งฉันไปเรียนโรงเรียนแบบญี่ปุ่น แต่แม่ซึ่งเชื่อพระเจ้า อยากให้ฉันเรียนโรงเรียนคริสเตียนของมิชชั่นนารี ใกล้บ้าน พอฉันจบมัธยมปลาย แม่ก็วางแผนให้ไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่พ่อไม่ฟัง “เราต้องเรียนแบบญี่ปุ่น จึงประสบความสำเร็จ” จริงตามที่ท่านพูด เมื่อเรียนจบจากญี่ปุ่นกลับมาเกาหลี ฉันได้งานเป็นครูสอนในโรงเรียนสตรีเอกชนแห่งหนึ่ง แต่เพราะอาจารย์ใหญ่วางตัวหยิ่งยโส ฉันจึงย้ายมาสอนในโรงเรียนของ
มิชชั่นนารี เป็นเวลาเดียวกับการบีบคั้น ขู่เข็ญให้ไหว้ศาลเจ้าเกิดขึ้นกับพวกเราพอดี”
และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
วันนั้นเป็นวันแรกของเดือน ทหารญี่ปุ่นกำหนดให้ทุกคนไปกราบไหว้ศาลพระชินโต ตามคำสั่ง เด็กนักเรียนหญิงทุกคนที่ฉันสอน ได้รับคำสั่งให้ไปรวมตัวกันที่สนามหน้าโรงเรียน ครูใหญ่กำชับให้ครูทุกคนรีบออกไปค้นหานักเรียนที่อาจหลบซ่อน เพราะไม่อยากไหว้ศาลเจ้า ฉันเศร้าใจแทบร้องไห้ ทรุดตัวลงอธิษฐาน
“ครูอัน อยู่หรือเปล่า?” ครูใหญ่เดินรี่ตรงเข้ามาถาม “เราต้องพานักเรียนหญิงทุกคน ไปกราบศาลเจ้าบนภูเขา” ท่านเตือนเสียงเข้ม ท่านให้เหตุผลว่า ถ้าเราไม่ฟังโรงเรียนจะถูกสั่งปิด
ฉันทราบเรื่องนี้ด้วยความเจ็บปวด คนญี่ปุ่นเข้าครอบครองประเทศเกาหลี ลบหลู่ ดูหมิ่น เหยียบย่ำพระเยซู หากผู้ใดแข็งข้อ ไม่ยอมคุกเข่าลงกราบศาลเจ้าของญี่ปุ่น ไม่ว่าศิษยาภิบาล ผู้ปกครอง หรือมัคนายก ก็จะมีโทษหนักสถานเดียว คือถูกทารุณ ทรมาน อย่างโหดร้าย ทั้งส่วนแบ่งของอาหารจะถูกตัดจากครอบครัว ปล่อยให้อดตาย เพราะถือเป็นเคราะห์กรรมของผู้ทรยศ การข่มเหงเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วประเทศเกาหลี มีคริสเตียนจำนวนมากพร้อมพลีชีพเพื่อพระเยซู โดยไม่ยอมปฏิเสธความเชื่อของตน สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ พวกคลั่งศาสนาใหม่ในญี่ปุ่นมีอำนาจสูงสุด คนเหล่านี้จะเข้มงวดกวดขัน ให้ทุกคนในเกาหลี โดยเฉพาะคริสเตียน ก้มกราบพระของเขา
วันนี้เหตุการณ์เช่นนี้กำลังเกิดกับโรงเรียนเล็ก ๆของเรา อัน ยี สุข ไม่ขัดคำสั่งของครูใหญ่ ที่อ้างเหตุว่าถ้าเธอขัดขืน ทั้งโรงเรียนจะเดือดร้อน “ถ้าอาจารย์อยากให้ฉันไปที่นั่น ฉันจะไป” พวกเราในเกาหลีกำลังเผชิญกับการไหว้รูปเคารพ เช่นเดียวกับดาเนียล ฉันอธิษฐานไปทุกฝีก้าว


เมื่อพวกเราเดินแถวไปถึงศาลเจ้าพระชินโต บนภูเขา ฝูงชนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ก่อนแล้ว โรงเรียนทุกแห่งส่งนักเรียนขึ้นมา เด็กนักเรียนเข้าแถว ยืนสงบเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าซุบซิบคุยกัน หรือขยับเขยื้อนออกมานอกแถว เพราะฉันมัวลังเลอยู่ โรงเรียนเราจึงมารั้งท้าย ทุกคนมองเราเป็นตาเดียว โดยเฉพาะตำรวจญี่ปุ่น มองอย่างไม่สบอารมณ์ ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นมาท่วมตัว ฉันพยายามอธิษฐาน”
“ยืนตรง” เสียงห้าวเหี้ยมแผดก้องไปทั่วบริเวณ ทุกคนจัดแถวและยืนตรงนิ่งอยู่ พวกเราเป็นเชลยญี่ปุ่นอยู่นานกว่า 37 ปี จึงถูกฝึกจนเคยชินกับการอยู่ใต้การบังคับแบบนี้ กราบพระอามาเตราสุโอมิกามิ ( พระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ ) ประชาชนมากมายปฏิบัติตามคำสั่งที่ตะโกนให้ก้มตัวลงต่ำ ทำความเคารพสักการะสูงสุด มีแต่ฉันคนเดียวที่ยืนตรงนิ่ง มองแน่วไปยังท้องฟ้า นาทีก่อนนั้นฉันหวาดหวั่นพรั่นพรึง แต่เดี๋ยวนี้มันหายไปหมดสิ้น ฉันกลับสงบมั่น จิตสำนึกบอกว่า “เธอทำสำเร็จสมดังใจแล้ว” ทุกคนบนภูเขาเห็นฉันขัดขืนคำสั่ง ฉันคงถูกลากตัวไปสถานีตำรวจ ถูกตบตีถีบ เอาชีวิตไม่รอดแน่ นักเรียนทุกคนกลัวแทนฉัน “ฉันตายแล้ว” ฉันคิด ฉันตายตั้งแต่อยู่บนภูเขานำซาน

 


ตำรวจลับ 4 นาย ส่งตัวฉันให้นายอำเภอ แล้วจากไป นายตำรวจใหญ่กวาดตามองฉัน สีหน้าดุดันเหี้ยมเกรียม “เธอรู้ไหม เธอทำอะไรบนภูเขานำซานวันนี้” เขาตะคอกเป็นภาษาญี่ปุ่น “กล้าดีจริงน่ะ” “ผู้หญิงสารเลว” เขาระเบิดออกมา “นึกว่าตัวเองเก่งรึ คอยดูน่ะจะมีอะไรเกิดขึ้น” ในวินาทีนั้น พระเจ้าตรัสกับฉันว่า “อย่ากลัวเลย พระองค์จะสู้แทนฉัน” (อพยพ 14:13-14) เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้นขัดจังหวะ อากัปกริยาของเขาเปลี่ยนไปทันที “ครับผม.. ครับผม..ครับผม” ดูราวกับเป็นหุ่นมากกว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พอพูดจบดูเหมือนเขาจะลืมไปว่า ฉันนั่งอยู่ในห้องด้วย เขาลนลานเปิดลิ้นชัก มือไม้สั่นลุกลี้ลุกลน รื้อค้นหาอะไรสักอย่างในแฟ้ม ฉันกำลังรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังต่อสู้แทนฉัน พอหาเอกสารพบ ก็รีบยัดแผ่นกระดาษลงในกระเป๋า พรวดพราดออกจากห้องไปทันที ท้องให้ฉันนั่งอยู่คนเดียว
ฉันลุกออกจากห้องทันที เดินขาสั่นพอถึงห้องโถง ฉันก็รีบวิ่งไปทันที ถึงบ้าน แม่ออกมารับ พี่น้องหลายคนมารวมตัวกันอธิษฐานเผื่อฉัน พวกเขาตะลึงที่เห็นฉันกลับมา แต่ทุกคนก็ขอบพระคุณ สรรเสริญพระเจ้า ฉันไม่ถูกจำคุก แต่ มหันตภัยรอฉันอยู่ข้างหน้า ฉันรู้ว่า ไม่นานตำรวจทุกแห่งจะรับคำสั่งให้ตามจับหญิงรูปพรรณสัณฐานเหมือนฉัน ฉันจึงปลอมตัว เอาขี้เถ้าทาตัว ทาหน้า สวมเสื้อผ้าเก่าๆ รีบหนีออกจากเมืองเร็วที่สุด และนี่คือจุดเริ่มต้นของ อัน ยี สุข เธอระหกระเหิน ขึ้นรถไฟ ขบวนสินค้าจากบ้าน ไปยังเมืองชิน ยี จู พักอยู่กับ ยุง ชิน ลูกศิษย์คนหนึ่ง เพราะความไม่ปลอดภัย เธอเดินทางต่อไปยัง เมืองจิน จู พักอยู่กับพี่สาว ไม่นาน ก็นั่งรถโดยสารไปยัง เมืองคุ ซุง ลูกชายของพี่สาวเป็นศัลยแพทย์ที่เมืองนี้ ด้วยหวั่นเกรงว่าคนที่รู้จักจะมีอันตรายไปด้วย เธอจึงระหกระเหินต่อไป บางครั้งก็ไปหาโบสถ์ แต่ศาลเจ้าพระชินโตตั้งไว้ทั่ว แม้แต่หน้าธรรมาสน์ในโบสถ์

 


ผมเล่าให้สั้นลง
วันหนึ่งพระเจ้าตรัสกับเธอว่า ให้ไปยังเมืองเปียงยาง “ฉันมุ่งหน้าไปคอยรถประจำทางที่ถนนใหญ่ มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเป็นพระสุรเสียง” ฉันขึ้นรถไฟจากเมือง ชิน ยี จู ไปยังเมืองเปียงยาง รถไฟเข้าเทียบชานชลาวันรุ่งขึ้น ขบวนรถด่วนบรรทุกทหารหนุ่มญี่ปุ่นเต็มรถไฟเพิ่งเข้ามาเทียบชานชลา กำลังเคลื่อนตัวออกสู่สนามรบ ผู้คนหลายระดับที่สถานีชูธงญี่ปุ่น ตะโกนคำว่า “บันไซ บันไซ” มีวงดุริยางค์และนักเรียนร้องเพลงปลุกใจ พวกเขากำลังถูกส่งไปยังสนามรบในประเทศจีน พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อพลีชีพแด่พระจักรพรรดิญี่ปุ่น ฉันรู้สึกว่า น่าจะมีใครสักคนช่วยประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูที่ไถ่บาปเด็กหนุ่มๆ เหล่านี้ ซึ่งต้องตายไปก่อนวัยอันควร มีคำถามว่า แล้วใครจะทำ? ใครจะบอกเขา? คำตอบก็คือ “เธอนั่นแหละ เธอต้องทำ” ฉันแย้งว่า “เป็นไปไม่ได้ ฉันเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอ ไร้ปัญญา” แต่พระสุรเสียงตรัสอีกว่า “เวลาของลูกมาถึงแล้ว” ฉันไปพักกับพี่สาวอีกคน ด้วยสำนึกว่าวันหนึ่ง การจับกุมและติดคุกจะมาถึงตัวเธอ อัน ยี สุข ถือศีลอดและอธิษฐาน เธอจดจำข้อพระคัมภีร์ได้มากกว่า 100 บท ทั้งบทเพลงอีกจำนวนมาก
ในช่วงนั้นเอง พระเจ้าทรงตรัสกับผู้ปกครองปาร์ค ให้ตามหาฉัน “คุณอันอยู่บ้านนี้ใช่ไหม” ผู้ปกครอง ท่านนี้เคยถูกจับ และทรมาน แต่เพราะความชรา ตำรวจญี่ปุ่นจึงปล่อยตัวออกมา ท่านไม่มีทีท่าหวาดกลัว พระเจ้าตรัสกับท่านให้มา พบฉัน เพราะฉันพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดี “ยังไม่เข้าใจหรือ” ท่านโพล่งออกมา “นี่เป็นเวลาที่พระองค์ปกป้องผู้เชื่อ จากการแผลงฤทธิ์ของซาตาน พระองค์ไม่หยุดพักเลย” ท่านพูดต่อ “พระองค์ประสงค์จะประกาศให้คนญี่ปุ่นทราบถึงคำเตือนของพระองค์ คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีมาก ตั้งแต่เห็นคุณ ผมก็รู้ว่าความเชื่อของคุณยังน้อยมาก พระเจ้าประสงค์ให้เตือนรัฐบาลญี่ปุ่น” เธอเชื่อฟัง
ทั้งสองเดินทางไปยังโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้พบกับ พลเอก คาซูนาริ อูกากิ เจ้ากรมทหาร ผู้เคยมีอำนาจปกครองสูงสุดในเกาหลี ผู้นำชั้นสูงของญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นกับเกาหลีเป็นศัตรูกัน แต่ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง เราเป็นพี่น้องกัน ท่านเล่าให้ฟังว่าอดีตคริสเตียนเคยนมัสการพระเจ้าได้อย่างเสรี แต่ตอนนี้ คริสเตียนเป็นที่เกลียดชังและถูกคุกคาม ถูกทารุณโหดร้ายเยี่ยงฆาตกร ต้องหนีกระเจิดกระเจิง เป็นการละเมิดพระบัญญัติ เพราะคริสเตียนไม่อาจนมัสการพระอื่น พระเจ้าตรัสชัดแจ้งแก่ดิฉันว่า ญี่ปุ่นจะต้องพินาศด้วยไฟบรรลัยกัลป์ จากกำมะถันที่ตกจากฟ้า หากไม่ยอมหันกลับจากการร้าย ที่มีต่อเกาหลี” ท่านพยักหน้า เห็นด้วย แต่ท่านอาจไม่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งสอง แอบนำเรื่องนี้เข้าไปเสนอในการประชุมรัฐสภาของญี่ปุ่น สำเร็จครับ แต่ถูกตำรวจญี่ปุ่นจับกุม และส่งตัวกลับเกาหลี มีการกวาดล้าง คริสเตียนครั้งใหญ่ และอัน ยี สุข ก็ไม่พ้นจากการติดคุก เป็นนักโทษ เธอเรียกคุกว่า “นรกบนดิน” ตำรวจที่คุก เมืองซูน ซอน นายหนึ่งซักไซ้ไล่เลียง ว่าทำไมฉันจึงมาติดคุกที่นี่ ฉันตอบว่า “เพราะฉันเป็นคริสเตียน ถูกขังที่นี่เพราะไม่ยอมกราบพระชินโต” “โง่มาก” เขาว่าแรงๆ “เรื่องแค่นี้คุณทำไม่ได้หรือ” อัน ยี สุข ใช้ชีวิตในคุก ช่วยเหลือหญิงที่อยู่ในห้องขังเดียวกัน โดยใช้ตัวของเธอเป็นดั่งผ้าห่มให้พวกเขา เธอยอมรับประทานผลไม้เน่า เพื่อพี่สาวและแม่จะได้รับประทานทานผลไม้สุก เธอนำหลายคนมาพบพระเยซู
วันที่ 6 เดือนสิงหาคม 1945 เมืองฮิโรชิมาถูกทิ้งระเบิดปรมาณู และสามวันต่อมา ระเบิดลูกที่สองลงที่เมืองนากาซากิ วันที่ 15 เดือนสิงหาคม 1945 ญี่ปุ่นเซ็นต์สัญญายอมแพ้สงครามโดยไม่มีเงื่อนไข สงครามโลกครั้งที่สองสงบลง นักโทษถูกปล่อยออกจากคุก ในปี 1940 มีคริสเตียน 34 คนถูกขังในคุกที่เมืองเปียงยาง เมื่อเปิดคุกในวันที่ 17 สิงหาคม 1945 ผู้ที่รอดตาย มีเพียง 14 คน นายคุกประกาศว่า “ท่านทั้งหลาย ของฟัง เป็นเวลากว่า 6 ปี ที่คนเหล่านี้ไม่ยอมก้มลงกราบพระชินโตของชาวญี่ปุ่น พวกเขาถูกทรมาน อดอยาก หนาวเหน็บ แต่ก็ประสบชัยชนะ วันนี้พวกเขาคือ บุรุษสตรีแห่งความเชื่อ”













Visitor 296

 อ่านบทความย้อนหลัง