ถ้าโลกไม่มี วันคริสตมาส
ศบ.

 


“เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากสตรีเพศ และทรงถือกำเนิดใต้พระบัญญัติ เพื่อไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร” (กาลาเทีย 4:4-5)

 

ผมเติบโตในบ้านที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นคริสเตียน แท้จริงครอบครัวของผมเชื่อพระเจ้ามาตั้งแต่คุณทวด ตอนเป็นเด็กเล็ก จำความได้ ผมเข้าเรียนในชั้นรวีฯ พอถึงเทศกาลคริสตมาส ทั้งที่โบสถ์ และที่บ้านของเรา ก็จัดงานฉลองคริสตมาส ผมยังจำ คริสตมาสปีหนึ่งที่โบสถ์เบ็ธเลเฮ็มติดตา เขาเข็นลังไม้ขนาดใหญ่ เข้ามากลางที่ประชุม พอเปิดลังไม้ เขาก็จุดประทัด เสียงดัง โป้ง ป้าง มีซานตาครอส สวมเสื้อสีแดง ถือถุงผ้าออกมาแจกของขวัญ พวกเราที่เป็นเด็ก ๆ ผมกลัวเสียงประทัด ทั้งประหลาดใจว่า ซานตาครอส ในลังไม้นั้นมาแต่ไหน โตขึ้น ผมเข้าเรียนในโรงเรียนศรีธรรมราชวิทยา เป็นโรงเรียนในเครือสภาคริสตจักร เขาก็จัดงานคริสตมาสเอิกเกริก มีการแสดงของชั้นต่าง ๆ มีการแข่งขันวาดการ์ดคริสตมาส สนุกสนาน พอมากรุงเทพ ฯ ที่นี่ ยิ่งมีการประดับประดาต้นคริสตมาส มีเสียงเพลงดังกระหึ่มในเดือนธันวาคม ทั่วไปทั้งที่โบสถ์ และห้างสรรพสินค้า ครับ คริสตมาส เป็นเวลาที่คนมีความสุข ยินดีปรีดากันทั้งเมือง แต่มีกี่คนรู้จักวันคริสตมาสจริง ๆ

 

วานนี้ผมอ่านบทความของเด็กฝรั่งคนหนึ่ง ถามคุณแม่ของเธอว่า“ถ้าโลกนี้ไม่มีวันคริสตมาส จะเป็นอย่างไร” คุณแม่ของเธอ ก็ตอบอย่างที่ผมคิดนั่นแหละ โลกคงจะเศร้าสลดไปเยอะ 

ถ้าไม่มีวันคริสตมาสครั้งแรก ถ้าพระเยซูมิได้เสด็จเข้ามาในโลก ถ้าพระองค์มิได้ตัดสินพระทัย เสด็จมาบังเกิดในโลกนี้ ถ้าพระเจ้ายืดเวลาการเสด็จเข้าในโลกของพระเยซู และจนตราบเท่าปัจจุบัน เวลาของพระองค์ก็ยังไม่ถึงกำหนด โลกปัจจุบันจะเป็นอย่างไร

คิดแล้วหนาวครับ
แน่นอน เรามองเผิน ๆ การจัดงานวันคริสตมาสที่เราเห็น ๆ อยู่ทั่วไป จะไม่มี เราจะไม่ได้ยินเสียงเพลง ราตรีสงัด ราตรีสวัสดิ์ หรือ เพลงชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี จะไม่มีใครประดับประดาบ้านด้วยต้นคริสตมาส ไม่มีเรื่องราวของทูตสวรรค์มาร้องเพลงอวยพร เรื่องคนเลี้ยงแกะมาเข้าเฝ้า ไม่มีเรื่องนักปราชญ์เดินทางไกลมาถวายเครื่องบรรณาการ เดือนธันวาคม คงเป็นเดือนธรรมดา ๆ เดือนหนึ่ง แต่นั่นยังเป็นเรื่องเล็กน้อย หลายคน ก็คงตอบผมว่า ไม่มีวันคริสตมาสเดือนธันวาคม ก็ไม่เห็นจะเป็นไร

มันไม่แค่นั้นซิครับ เรื่องราวของพระเยซูจะไม่มี เราทั้งหลายที่อยู่ในโลกซึ่งตกอยู่ภายใต้อำนาจของมาร คำสอนผิด และความผิดบาป ไม่อาจมองเห็นความหวัง หรือความสว่างใด ๆ

ผมเป็นคนชอบดูหนังประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเป็นเรื่องใกล้ยุคของเรา (ผมเกิดตอนสงครามเลิก) ฮิตเล่อร์ ใช้พวกนาซีบุกเข้าไปยึดฝรั่งเศส โปแลนด์ ฮอลแลนด์ ยึดครองยุโรป พยายามข้ามไปยึดอังกฤษ บุกเข้าไปในรัสเซีย คาดว่าจะครองยุโรปทั้งหมด ระหว่างสงคราม ฮิตเลอร์ฆ่ายิวในค่ายกักกันในยุโรป ประมาณ 6 ล้านคน ใช้รถถังพยายามยึดอียิปต์ในอัฟริกา คาดว่าจะบุกไปให้ถึงปาเลสไตน์ ถ้าฮิตเลอร์ชนะ ถ้านายกรัฐมนตรี วิลสตัน เชอร์ชิล ของอังกฤษ และประธานาธิบดี แฟรงกลิน รูสแวลท์ ไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน ไม่มีการยกพลขนานใหญ่ขึ้นบกที่นอร์มังดี เพื่อตี้โต้กลับ โลกวันนี้จะเป็นอย่างไร

ประเทศไทยเราก็เช่นเดียวกัน พม่าเคยตีกรุงศรีอยุธยาแตก จับเจ้าขุนมูลนายไทยไปเป็นตัวประกันที่พม่า ถ้าสมเด็จพระนเรศวร ไม่ทรงลุกขึ้นมากอบกู้ชาติ ไม่มีการประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ไม่มีการรวบรวมคนขึ้นต่อสู้ วันนี้ประเทศเราคงไม่เป็นชาติอยู่อย่างทุกวันนี้

ถ้าพระเยซูไม่ทรงตัดสินพระทัยเสด็จเข้ามาในโลกในวันคริสตมาส เกิดจากครรภ์ของนางมารีย์ หญิงพรหมจารีย์ การดำเนินชีวิตในโลกนี้ของพระองค์ 33 ปีก็ไม่มี หนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งฉบับก็ไม่มี ใครอยากรู้จักพระเจ้า ก็ต้องอาศัยพระคัมภีร์เดิม ซึ่งการที่จะเข้าใจพระเจ้าได้ ก็เลือนรางเต็มที เราจะไม่มีแบบอย่างการดำเนินชีวิต เราจะไม่เข้าใจว่าพระเจ้ารักเด็ก มีเมตตาต่อคนผิด มีพระทัยอยากช่วยคนเจ็บ สงสารคนถูกรังแกอย่างไร เราจะไม่เข้าใจว่าพระองค์ต่อต้านผู้มีอำนาจที่ขี้โกงอย่างไร เราจะนึกไม่ออกว่า รักที่ปราศจากเงื่อนไขนั้นเป็นอย่างไร เราจะไม่เข้าใจว่า การเป็นพลเมืองภายใต้อำนาจมืดนั้นใช้ชีวิตแบบไหน

ถ้าพระเยซูมิได้เข้ามาในโลก เราจะทราบคำสอนที่ถูกต้องได้อย่างไร เราคงต้องใช้ชีวิตแบบ เดินผิดเดินถูก มืดมน งมโข่ง อย่างหาทางออกไม่ได้ นี่เองที่ยอห์น กล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นแหล่งแห่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่” ( ยอห์น 1:8-9) พลาโต โซเครตีส หรือ อริสโตเติล นักปรัชญาของกรีซ หรือ ชาร์ล ดาวิน นักวิทยาศาสตร์อังกฤษ ไม่ใช่คำตอบ พระเยซูต่างหากทรงเปิดตาเราให้เข้าใจชีวิตที่สอดคล้องกับความจริง

ถ้าพระเยซูมิได้เข้ามาในโลก หนักยิ่งกว่าเรื่องใดทั้งสิ้น การไถ่โทษบาปที่ไม้กางเขนจะไม่เกิดขึ้น ไม่มีคริสตมาส ก็จะไม่มีวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์ เราทั้งหลายผู้ทำความผิดบาป มีชนักติดหลังอยู่ จะรอดพ้นจากการพิพากษาได้อย่างไร ยอห์นกล่าวว่า “เพราะพระเจ้าทรงใช้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” (ยอห์น 3:17) เราคงเหมือนแกะหลงในหุบเขา โดดเดี่ยว กลับบ้านไม่ถูก วิ่งไปมาอย่างหวาดผวา จนหมดแรง

ถ้าพระเยซูไม่ได้เข้ามาในโลก อะไรจะเป็นแรง พลังให้เราลุกขึ้นมา กลับใจใหม่ ถ่อมใจเข้ามาขอการช่วยกู้จากพระเจ้า การเป็นบุตรของพระเจ้า มีสัมพันธภาพใหม่กับพระองค์จเกิดขึ้นได้อย่างไร เปาโลจึงได้กล่าวว่า “เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา … เพื่อไถ่คนเหล่านั้น…ให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร” ( กาลาเทีย 4:4-5 )

ถ้าพระเยซูไม่ได้เสด็จเข้ามาในโลก ในวันคริสตมาสครั้งแรก เราจะแลเห็นการทนทุกข์ที่ไม้กางเขน เพื่อเราได้อย่างไร ภาพนั้นจะไม่ประจักษ์ตาเรา เมล กิฟสัน ย่อมไม่ได้สร้างหนัง เดอะ แพสสัน ให้เราได้ดู เราคงได้ชมแต่หนังของเขา เรื่อง มหากาฬล่าคนทมิฬ มหากาฬล้างมหากาฬ คนระห่ำดุกระฉูด เพื่อนหักเพื่อน หรือ หนังผมรู้น่ะคุณคิดอะไร ฯลฯ แต่ภาพพระองค์ถูกเฆี่ยนด้วยแส้ติดกระดูก ภาพพระองค์ถูกเอาตะปูตอกที่พระหัตถ์ พระบาท และภาพการถูกตรึงที่ไม้กางเขน ในหนัง เดอะ แพสชั่น เป็นแรงหนึ่ง ให้เราระมัดระวังไม่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยอีก

ถ้าพระเยซูมิได้เข้ามาในโลกในวันคริสตมาส วันนี้ โลกจะไม่มีคริสตจักร ชุมชนผู้เชื่อจะไม่เกิดขึ้น ชาวโลกที่โหยหาพระเจ้า จะเป็นเหมือนขันทีชาวเอธิโอเปีย ที่เดินทางเยรูซาเล็ม ด้วยคำถามว่า จะรู้จักพระเจ้าผู้สร้างโลก และรอดบาปได้อย่างไร และเขาจะกลับบ้านอย่างว้าเหว่ ผิดหวัง (กิจการ 8:27-33) นี่คือคนเสาะหาน่ะครับ คนไม่เสาะหาจะอยู่ไกลสุดกู่แค่ไหน ผมคาดเดาไม่ถูก

ถ้าพระเยซูไม่ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้ ในวันคริสตมาสครั้งแรก ย่อมไม่มี มิชชั่นนารี 2 ท่าน คือ คาร์ล ออกัสตัส เฟรดเดอริค กุตสลาฟ และ จาคอบ ทอมลิน มาเมืองไทยปี 1828 ในรัชสมัย ร. 3 วันนี้เราก็คงไม่ได้รู้จักพระเจ้า คุณทวดมิตร คุณตาแจ้ง และคุณพ่อคุณแม่ของผมก็คงไม่ได้รู้จักพระเจ้า พี่น้อง และผมเองก็คงไม่ได้รู้จักพระเจ้าเช่นเดียวกัน แล้ววันนี้เราจะอยู่กันที่ไหนอย่างไร สุดที่จะคาดเดาครับ


วันนี้เราผ่านชีวิตกันมายาวไกลพอสมควร ผมสามารถพูดได้ว่า อะไร ๆ ที่เกิดขึ้นมาวันนี้ หาได้เกิดขึ้นเพราะการนั่งอยู่เฉย ๆ แล้วเหตุการณ์จะพาเราเข้าทาง หรือรู้จักพระเจ้าไปเอง มารพยายามพาเราเข้ารกเข้าพงมากกว่า แต่อะไร ๆ ที่เกิดมาได้ ณ วันนี้ เกิดเพราะ อันดับแรก พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยส่งพระบุตรเข้ามาสู่โลก และพระบุตรทรงเต็มพระทัย คริสตจักรเกิดเพราะสาวก ลุกขึ้นประกาศ การขยายพระกิตติคุณสู่ชาวโลก เกิดเพราะมิชชั่นนารีรุ่นแรกรักพระเจ้า รักคน ไม่เห็นแก่ตัว แน่นอนกิตติคุณที่เราได้ยิน เราต้องตอบรับ เราถึงได้รู้จักพระองค์ แต่มันมิได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากความกล้าหาญเสียสละ การควักกระเป๋า การทุ่มเทของคนบางคน วันนี้ คนไทยอีกจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักความรักของพระเจ้า คริสตมาสกับเขาอยู่กันคนละส่วนกัน เขายังอยู่ในสภาพ โลกนี้ไม่มีวันคริสตมาส แล้วใครจะช่วยเขาล่ะครับ ดังนั้น วันนี้เราควรขอบพระคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ และช่วยพี่น้องชาวไทยครับ
ขอพระเจ้าอวยพรท่าน





Visitor 105

 อ่านบทความย้อนหลัง