แม่เล่าเรื่องคุณตา
ศ บ.
วันนี้เป็นวันสงเคราะห์ ผมขอนำเรื่องคุณตาแจ้ง มาเล่า
สมัยเด็ก ตอนปิดเทอมชั้นประถม 3 คุณแม่ส่งผมไปพักอยู่กับคุณตา(คุณตาแจ้ง) คุณยาย (คุณยายละเอียด) ที่บ้านบ่ออ่าง เมืองคอน แต่ละวันจะมีคนมาเยี่ยมคุณตาไม่ขาด ส่วนมากมานั่งสนทนา ฟังข้อคิดดีๆจากท่าน ก่อนเป็นคริสเตียน คุณตาเคยบวช ท่านเคยเป็นทั้งครู และหมอ คนจึงเรียกท่านว่า “ครูแจ้ง. บ้าง “หมอแจ้ง” บ้าง ในบรรดาคนที่รู้จักคุณตา คงหาใครที่รู้จักคุณตาเท่าคุณแม่ (แม่การุณย์) ได้ยาก คุณแม่ท่านทั้งรัก และศรัทธา คุณตาเป็นแบบอย่างของคริสเตียนดียิ่ง คุณแม่ท่านเล่าเรื่องคุณตาให้เราฟังเสมอ ผมจำได้หลายเรื่อง เคยขอให้คุณแม่ท่านช่วยเขียนเล่าเรื่องคุณตาไว้ และต่อไปนี้คือข้อเขียนบางส่วนของคุณแม่
แม่จำได้ คุณตาให้คะแนนแม่ว่า “การุณย์ มีพ่ออยู่ 90%” แม่รักคุณตามากๆ อยู่ใกล้คุณตามิได้ห่าง มาเรียนที่วัฒนาเสียพักหนึ่ง กลับไปก็อยู่กับคุณตาต่อ แม้นแต่งงานแล้ว จะไปไหนมาไหน ก็เรียนคุณตาก่อน
ต้อนรับผู้รับใช้
อาจารย์สุขมาอยู่ที่บ้าน เหมือนคนบ้านแตก แม่รับไว้ ก็มีพี่บางคนมาเตือนและดุว่า รับไว้ทำไม เขาเป็นคนที่ออกจากสภาคริสตจักรแล้ว ไว้หน้าพี่ๆ บ้าง แต่เพราะใกล้ชิดและรู้ใจพ่อ คิดว่าทำถูกแล้ว เพราะอาจารย์สุขเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ก็ไปถามพ่อดู คุณตาตอบทันทีว่า “ลูกทำถูกแล้ว” ลูกรู้ไหม ขณะนั้นแม่มีอาชีพอะไร ทำขนมขาย ทำสาคูไส้หมู และขนมโค ขายตอนเย็น ข้าวเหนียวเหลือง และข้าวเหนียวสังขยาขายตอนเช้า พ่อแม่ครูจินต์มาอยู่ด้วย แม่มีลูก 2 คน แอ๊ะกับตุ๋ย ยังไม่มีเบิท ครูจินต์ได้เงินเดือน 40 บาท แบ่งให้พ่อแม่ 20 บาท ให้แม่ 20 บาท ให้พี่เลี้ยงลูก 5 บาท อาจารย์สุข จะช่วยค่าไฟ แม่ไม่รับ เมื่อตั้งใจรับครอบครัวอาจารย์สุข เพราะรักพระเจ้า ก็จะเอาอะไรอีกเล่า ทำคะแนนความเหมือนพ่อให้สูงอย่างขะมักเขม้น ยกเรื่องนี้มาเล่า เพื่อลูกจะได้รู้และพิจารณา ดูซิว่า การเรียนแล้วทำตามคือการสอบเก็บคะแนน
อย่าทะนงว่าเป็นลูกคริสเตียน
ยอห์น บัพติสโต เตือนชนชาติอิสราเอลว่า อย่าทะนงตัวว่าเป็นลูกหลานอับราฮาม ถ้าไม่กลับใจเสียใหม่ก็ไม่รอดหรอก ก็จริงล่ะน่ะ วันคืนล่วงไปทุกวัน มีข่าวคนนั้นคนนี้ล่วงลับ ทุกเพศทุกวัย นึกถึงวันของเรา แม่นึกถึงวันของแม่ตั้งแต่ไม่ถึง 10 ขวบ จึงขวนขวายตะเกียก ตะกาย ไม่ลืมตัวนาน เห็นชีวิตมิชอบรีบกลับ กลัวไปไกลพระ ก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่โปรดให้เกิดเป็นลูกคุณพ่อ(ตาแจ้ง) เพราะท่านเป็นคริสเตียน ท่านจึงเป็นคนสุขุม ใจเย็น สัตย์ซื่อ และเป็นผู้ดีรอบคอบ เป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน
มองคนในแง่ดีเสมอ
บ้านไม่มีรั้ว มีแต่ประตู มีกลอนทุกห้อง มีขโมยเข้ามาลักเรือ ลักหม้อข้าว (ทำด้วยทองแดง) ขโมยไก่ ผ่านไป 2-3 วันมีคนมาบอกว่า คนมาเอาเรือไปคือใคร เอาหม้อข้าวคือใคร (คนละที ไม่ใช่คราวเดียวกัน) คุณตาปฏิเสธไม่ให้บอกว่าคนขโมยเป็นใคร ชื่ออะไร แม่ถามว่า “ทำไมพ่อไม่อยากทราบชื่อ?” ท่านตอบว่า เราเป็นมนุษย์ หลีกเลี่ยงการเกลียดเขา เราจะดีกับทุกคนได้ง่ายและบริสุทธิ์ใจกว่า เวลาพวกเราคุยกันถึงเรื่ใครๆ ท่านจะห้ามพูดถึงใครในแง่ร้าย ถ้าเขาไม่มีความดีให้เราพูด ก็อย่าพูดถึงเขาเสียเลยดีกว่า
สงสารคนแพ้
แม่ถามว่า ท่านเคยเล่นการพนันไหม ท่านตอบว่า “เคย” เมื่อเด็กเคยเล่น “โยนหลุม” แพ้ 3 สตางค์ เสียใจ ก็คิดได้ว่า ไม่ดีเลย ถ้าชนะ คนแพ้ก็จะเสียใจเหมือนกัน เลยเลิกตั้งแต่บัดนั้น ไม่เล่นอีกเลย
น้ำใจราคาแพง
มีชาวสวน ชาวบ้าน เอากล้วยน้ำว้าสัก 1 หวี พร้อมด้วยข้าวใหม่มาให้ คุณตาจะให้ผ้า เสื้อใหม่ๆ วันหนึ่งแม่ถามว่า “พ่อเคยคิดหรือเปล่าว่ามันต่างกัน” ท่านตอบว่า “ค่าน้ำใจมันแพง และเขาเป็นคนจน และคนจนๆ คือเพื่อนเรา เราอยู่ได้กับคนยากจนนี่แหละ”
รักคนมากกว่ารักของ
แม่ไม่เคยเห็นคุณตาเป็นคนเจ้าชู้ หยาบคาย หรือเอาเปรียบใคร แม่ทราบว่าหลังบ้านเราเป็นตรอก (ทางคนเดินเล็ก) ส่วนถนนประตูลอด เป็นเขตบ้านติดต่อกับบ้านคุณพริ้ง ภายหลังเขาขอตัดถนนประตูลอด เอาตรอกนั้นชดใช้ให้เรา เจ้าของเป็นญาติเรา โอบรั้วเอาเสียเลย มีทนายบางคนอาสาฟ้องขับไล่ คุณตาห้าม แม่ถามว่า ทำไมไม่ฟ้อง คุณตาว่า “ที่ดินจะแลกกับเพื่อนบ้านเชียวหรือ? “
คุณตามองหลายๆอย่างในโลก เป็นอนิจจังเสียมาก ชอบเงียบๆ มากกว่าความอึกทึก แต่ไม่ใช่ถึงกับเกลียดเพลงดนตรี คุณตาเป็นดนตรีไทยหลายชนิด เช่น ซออู้ ซอด้วง ขิม จะเข้ ถึงขนาดมีไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ชอบเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกผักเป็นงานอดิเรก ถ้าไม่มีคุณยาย สงสัยจะไม่มีอะไรให้ลูกให้หลาน สวนบางแห่งซื้อมา แบ่งให้เพื่อนบ้างญาติบ้าง บางแห่งใครก็ไม่รู้มาแอบถางแล้วทำขนำอยู่ถัดไปครึ่งที่เลย คุณตาไปถามจะเอาแค่ไหนปักเขตเอาเลย แม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ไปทำเขตถาวรใหม่ เพื่อยุติการก้าวล้ำเขต จนเหลือน้อยกว่าที่เขาเอาไป เขาไม่ใช่คนที่อยู่ติดกัน แต่เป็นคนที่อื่น (ไหนก็ไม่รู้) บางรายบอกให้เขา บางรายถูกบุกรุกเขต ต้องให้เขาทุกราย ดูเหมือนคน”ขี้แพ้”
คำสอนส่วนใหญ่ท่านให้มีเมตตา สอนให้เมตตาเอ็นดูคนยากจน เช้าๆ บางวันแม่ไปซื้อขนมครกน้าเขียว คุณตาจะชมว่า การุณย์ใจดี บางทีแม่งง ใจดีไง เราให้เงินเขาๆให้ขนมเรามา คุณตาว่านั่นแหละความดี แม่เขียวเป็นคนจน ซื้อผักคนแก่ๆ ขายอย่าต่อ อย่าเอาเงินทอน น้าเปลี่ยนขายขนมค่อม(ขนมใส่ไส้) ขายเหลือ รู้ไต๋คุณตา เอามาขายที่บ้าน คุณตาเหมาในราคาแพงกว่าขายในตลาด
สัตย์ซื่อตั้งแต่เรื่องขี้ผง
คุณตาสอน อบรมแม่มา ไม่ให้อลุ่มอล่วยกับความบาป แม้นแต่ขี้ผง ยานัดเป็นยากลางบ้าน ที่ทางการอนุญาตให้ร้านค้าเล็กๆ หามาขายได้ ไม่ผิดกฏหมาย คุณตามาเห็นเข้า ท่านบอกแม่ว่า มันมียาเสพย์ติด(แบบบุหรี่หรือยาฉุน) ผสมอยู่ แม่เลิก ไม่ขายทันที ไม่ว่ามันจะขายดีและมีกำไร
ถ้าแม่ไปแสดงความสัตย์ซื่อ มีคนถามว่าแม่ลูกใคร แม่จะตอบว่า “ลูกครูแจ้ง” เมื่อมาเล่าให้คุณตาฟัง คุณตาจะสอนว่า ทีหลังให้ตอบว่า “ลูกเป็นคริสเตียน” เกียรติยศถวายพระเจ้า
เทิดทูนพระเยซู
แม่เฝ้าหน้าบ้าน ตอนนั้นรับคนไข้โอนไปให้พี่พร ( หมอสมพร พี่ชายคุณแม่) ที่โรงพยาบาล ที่บ้านเปิดรับปรึกษา ขายยาไปเรื่อย ในต้นวัยเกษียณของท่าน หากมีนักบวชมาหา แม่จะไปเรียนท่านว่า “พระมาหา” เมื่อเสร็จธุระกับนักบวชนั้นแล้ว ท่านพูดกับแม่ว่า “เขาคือคน เรามีพระเจ้าองค์เดียวเป็นพระของเรา” แม่ถามว่า แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ท่านว่า “เรียกนักบวช” แม้นแต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ก็ไม่เรียก “พระ”
เมื่อเป็นผู้ใหญ่ได้อ่านศึกษาพระคัมภีร์ ก็พอเข้าใจได้ว่า ชีวิตคุณตา เลียนแบบมาจากคำสั่งสอน พระคัมภีร์นั่นเอง
ความที่ท่านนับถือพระเจ้า ท่านเทศนา เอ่ยคำว่า “พระเจ้า” “พระเยซู” มือของท่านทั้งสองจะยกขึ้นประณมไหว้อย่างคาระวะ แม่จำภาพได้ติดตา ไม่ลืม พูดได้ว่าทุกครั้ง
คุณแม่ท่านเป็นนักเขียน ท่านเขียนจดหมายถึงลูกๆ เป็นคำสอน เป็นคำเตือนสติไว้มาก ม๊โอกาสผมจะค่อยนำมาถ่ายทอดให้พี่น้องฟังอีก ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มหันต์กับลูกกับหลาน และพี่น้องทั่วไป
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
|