ทรงติดอาวุธให้เรา

 

ศ.บ

            “ดังนั้นจงหาความพอใจและชื่อเสียงดี  อยู่ในสายพระเนตรพระเจ้า  และในสายตามนุษย์  จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า  และอย่าพึ่งความรอบรู้ของตนเอง  จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า  และพระองค์จะทรงทำให้วิถึของเจ้าราบรื่น   อย่าคิดว่าตนฉลาด  จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย “ 

            (สุภาษิต 3: 4-7)

             ผมเกิดที่เมือง  โตขึ้นที่เมืองคอน  ผมยังจำปีเดือนเหล่านั้นได้ดี  คุณแม่เคยพาผมมากรุงเทพฯอยู่ครั้งหนึ่ง  ตอนผมเรียนชั้น ประถมปีที่  3  ไปพักที่บ้านคุณลุงสวาท  ซอยพระเจน บนถนนวิทยุใกล้สวนลุม  ผมเคยขึ้นไปนั่งรถราง แถวสำเพ็ง  กรุงเทพฯ ใหญ่มาก  เมื่อเทียบกับเมืองคอน   จากนั้นผมก็ไม่เคยมากรุงเทพ ฯ อีกเลย จนกระทั่ง  ขึ้นมาสอบเข้าเตรียมอุดม ของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน   นคร บ้านผมสมัยนั้นไม่มีทีวี   โทรศัพท์ทางไกลคุยกับใครที่กรุงเทพฯ  ก็ยากมาก  ส่วนมากใช้สื่อกันทาง โทรเลขมากกว่า 

        ก่อนเดินทางมากรุงเทพฯ  ผมได้ยินข่าวร่ำลือเรื่องกรุงเทพฯ มากมาย ไปในทางไม่ดี เช่น  มีคนที่ชอบหลอกลวง มีการฉกชิงวิ่งราว เด็กผู้หญิงสาวๆ  ถูกหลอก ให้ต้องขายตัว  มีจิ๊กโก๋  จิ๊กกี๋  เจ้าสำอางค์  คนต่างจังหวัดไปเสียเนื้อเสียตัว มั่วซั่วในกรุงเทพฯ   บ้านผมใครทำผิดอะไร  หัวถนนรู้ถึงปลายถนนอย่างรวดเร็ว  เพราะชาวบ้านชาวช่องรู้จักกันหมด  แต่กรุงเทพฯ  คนอยู่บ้านติดกัน อยู่กันเป็นปี ๆ ยังไม่ได้คุยกันสักคำ  ไม่มีใครสนใจใคร  อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน  ใครทำผิดอะไรที่ไหน  ก็ไม่มีใครรู้   บ้านผมสมัยก่อน  เพื่อนทะเลาะกัน ไม่พอใจ ยกทีมนัดกันไป ถอดเสื้อชกกัน  สองต่อสองแบบลูกผู้ชายในป่ายาง หลังโรงเรียน  แต่กรุงเทพฯ ไม่พอใจ ยกพวก รุมตีกันแบบใช้ระเบิดขวด และอาวุธ

 

          ผมรู้ดีว่าวันหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ท่านจะส่ง พี่ ผม และน้องๆ ขึ้นมาเรียนหนังสือกรุงเทพฯ  เพราะทุกคนพูดว่า กรุงเทพฯ เป็นแหล่งแห่งความรู้  กรุงเทพฯ มีมหาวิทยาลัยทันสมัย  ที่เมืองคอนไม่มี  แต่คนคอนขึ้นมาเสียเด็ก  ก็มีให้เห็นไม่น้อย เสียทั้งเรื่องเป็นนักเลงหัวไม้คุมซอย  และเรื่องเพศ  และกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ทำผิดแล้วปลอดสายตาคนดีนักแล  ทำบาปชั่วอะไรที่ไหน ก็ไม่มีใครรู้   แต่สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ท่านทำกับพวกเรา  ก็คือ ติดอาวุธให้เรา  สอนเรา ที่สำคัญท่านสอนเราให้พึ่งพระเจ้า  ให้เกรงกลัวพระเจ้า  

          วันนี้  ผมยกพระธรรมสุภาษิต  บทที่ 3  เป็นถ้อยคำที่พ่อกำชับลูก   น่าสนใจมาก ซาโลมอนผู้เขียน ชี้ให้เห็นว่า ถ้าลูกเชื่อฟังตามนี้ ก็จะได้รับพระพร  อยากฟังไหมล่ะครับ

                  (1) อยู่ในสายตา     (2)   พึ่งพาพระองค์  

                  (3) ดำรงในพระวจนะ (4) ผละความชั่วร้าย 

                  (5) ถวายพระก่อน      (6) พรพระ  น่ะล้นเหลือ  

(1) อยู่ในสายตา

        “อยู่ในสายพระเนตรพระเจ้า  และในสายตามนุษย์”(3:4) 

       ก็อย่างที่ผมบอกแล้ว  กรุงเทพฯ เป็นเมืองลี้ลับ ก็จริง  แต่จะไปที่ไหนๆ  ให้เราระลึกกว่า  พระเจ้าทรงเฝ้ามองเราอยู่ตลอดเวลา  มีหรือที่เราอยู่ที่ไหน และพระเจ้ามิทรงทอดพระเนตรเห็นเรา  เข้าวิกหนัง บาร์ ร้านคาราโอเกะ อาบอบนวด โรงน้ำชา ยิ่งทุกวันนี้  สถานมืดๆ ในกรุงเทพยิ่งมีมากกว่าเดิมเยอะ  จงตระหนักว่า เราจะไปอยู่ในซอก ใน หลืบไหนๆ  พระเจ้าทรงแลเห็นทั้งนั้น  กษัตริย์ดาวิด กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะไปไหน  ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้  หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหน  ให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์” ( สดุดี 139:7) ส่วนเรื่องอยู่ในสายตามนุษย์  นี่ คือ ความสมัครใจของเรา  ผมถูกสอนว่า  จะไม่ไปไหน ๆ ควรบอกให้ผู้ใหญ่รับทราบ  ไม่ไปที่ไหนที่ไม่มีใครเห็น  มารชอบที่มืด  ที่สว่างมารทำงานยาก  ดังนั้น ผมจะรายงานพี่ๆ ที่ผมไปพัก บอกให้คุณพ่อคุณแม่รับทราบ เสมอ ทุกวันนี้ยิ่งทำง่ายกว่าเดิม  เราส่งข่าวกันทางมือถือได้รวดเร็ว  นอกจากเราไม่ไปทำผิดในที่ลับแล้ว  เราไปที่ไหนๆ พระเจ้าจะทรงช่วยเราได้เสมอ  เมื่อเราบอกกล่าว ผู้ใหญ่จะแนะนำเรา  แล้วเราจะปลอดภัยไปกว่าครึ่งครับ

(2) พึ่งพาพระองค์  

       “จงวางใจในพระเจ้า   จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกๆ ทาง” (3:5)

      คนเข้ากรุง ที่ไหนๆก็ใหม่ไปหมด  ผมไม่รู้ที่ไม่รู้ทาง  เวลาเราไปที่ ที่ไม่เคยเดินมาก่อน   มันสุ่มเสี่ยงกับความผิดพลาดได้เสมอ  ผมนึกถึงตอนขึ้นรถเมล์ ครั้งแรก สาย 48   คิดถึงตอนไปกวดวิชาที่วาย เอ็ม ซี เอ ถนนวรจักร   คิดถึงตอนสอบเข้าเตรียมอุดม ที่คณะบัญชีจุฬา คิดถึงตอนไปหาตึกสอบ ผมเข้าเตรียมฯไม่ได้  ต้องไปสอบใหม่ เข้าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน  ช่วงเรียน ม. 7  ผมไปสอบเทียบที่วัดมกุฏกษัตริย์  สองปีต่อมา  ไปสอบเอ็นทรานซ์  ผมเข้าเรียนเกษตรในปีนั้น  ตอนหิ้วกระเป๋าไปเข้าหอพักที่เกษตร  ผมคิดถึง ตอนออกมาสอบเข้าคณะเภสัช  คิดถึงตอนไปสมัคงานที่บริษัทบอร์เนียว  และทีบริษัท เลอเปอร์ตี้ต์  ไม่มีใครไปกับผม  ทุกที่ผมเดินทางไปคนเดียวทั้งสิ้น  ถามว่าหวาดหวั่นไหม  ครับ หวั่นทุกที่  แต่ผมก็เรียนวางใจพระเจ้า  รู้ว่าพระองค์อยู่เคียงข้าง   ยิ่งขี้ขลาด ยิ่งต้องวางใจพระองค์  หลักนี้  ผมก็ยังใช้อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้

 

(3) ดำรงในพระวจนะ    

       “อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง  “บุตรชายของเราเอ๋ย  อย่าดูหมิ่นพระดำรัสสอนของพระเจ้า  หรือเบื่อหน่ายต่อพระดำรัสเตือนของพระองค์” (5,11)

        หนังสือที่เราต้องยึดถือ  คือพระคัมภีร์    เรื่องนี้ต้องชมคุณพ่อคุณแม่  ที่ท่านติดอาวุธเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อผมอยู่บ้านที่นคร  ท่านขยันชวนให้เราอ่านพระคัมภีร์  บางทีก็ปลุกให้ลูกๆ  มานั่งฟังท่านอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่เช้า  ง่วงแค่ไหน  ก็ต้องลุกขึ้นมาฟัง  ที่บ้านเรามีนักเทศน์จร  มาพักเป็นประจำ ทุกครั้งที่นักเทศน์เหล่านี้มา  ท่านก็จะจัดประชุม  ร้องเพลงชีวิตคริสเตียน  และขอให้ท่านเหล่านั้นเทศน์  เราจึงได้ฟังนักเทศน์หลายคนเทศน์เป็นประจำ  ผมจำคำเทศน์แต่ละคนไม่ค่อยได้  แต่จำพระคัมภีร์หลายข้อได้จนตราบเท่าทุกวันนี้   ในยามที่ความทุกข์ยากเกิดขึ้น  ในยามที่การทดลองเข้ามา  พระคำเหล่านั้นก็จะก้องอยู่ที่หู  เมื่อพบพระเจ้าเป็นส่วนตัว  ผมชอบพระคัมภีร์มาก  อยากรู้ว่าเรื่องไหนพระคัมภีร์ว่ายังไงก็จะขุดค้น  และได้คำตอบเสมอ  ไม่ผิดหวัง   ดีกว่า นั่งคิดผิดๆ ถูกๆ ด้วยตนเอง 

(4) ผละจากความชั่วร้าย     

     “จงยำเกรงพระเจ้า  และหันจากความชั่วร้าย” (7)

      ถามว่าในชีวิตเป็นหนุ่มที่ผ่านมา  มีเพื่อนชักชวนให้ไปทำผิดมีไหม  ก็มีอยู่หลายครั้งครับ  บ่อยครั้งผมก็ปฏิเสธตั้งแต่ต้น  แต่ก็มีเหมือนกัน ที่ผมเคยต้องไปนั่งอยู่ในร้านอาหารที่มีเพื่อนผู้ชายล้วน ๆ เขาเลี้ยงเหล้า เป็นปกติ   ไม่สนุกเท่าไหร่ที่ต้องนั่งกินกับแกล้ม และน้ำส้ม  แล้วก็ต้องคอยบอกว่า “ผมไม่ชอบเหล้า”  ที่เล่ามานี้มิใช่ว่าจะชมตัวเอง  แต่ต้องการบอกว่า  ผมกลัวพระเจ้า และพระองค์ก็ช่วยผมเสมอมา   สมัยทำงาน เพื่อนในกลุ่มที่ไปทำงานชวนให้ไปเข้าโรงอาบ อบ นวด  ก็มี วิธีของผมก็คือ ผมปฏิเสธตั้งแต่วินาทีแรก  ขอตัวกลับบ้าน

 

(5) ถวายให้พระองค์ก่อน  

      “จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยทรัพย์สินของตน   และด้วยผลแรกแห่งผลิตผลทั้งสิ้นของเจ้า” (3:9)

        เราถูกสอนให้ถวายสิบลดมาตั้งแต่เด็ก เมื่อพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตของเรา  การงานของเรา  ความเป็นอยู่ของเรา   อะไรล่ะเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของ  มีร้อยใช้ร้อย   มีพันใช้พัน  ก็เราเองทำด้วยตัวเอง  คิดด้วยตัวเอง  ด้วยกำลังแข้งของตัวเอง   แล้วพระเจ้าเป็นเจ้าของตรงไหน  สิบลดเป็นเครื่องพิสูจน์  ว่าพระเจ้าคือเจ้าของทรัพย์ทั้งสิ้นของเรา   เวลาของเราละ  อาทิตย์หนึ่งมี เจ็ดวัน  เราทำงานเจ็ดวัน  ไม่มีวันสะบาโตเป็นวันบริสุทธิ์ของพระเจ้า   แล้วพิสูจน์ทรงไหนว่าพระเจ้าเป็นเจ้าชีวิตของเรา    “ผลแรก”  แปลว่าให้พระเจ้าก่อน   ไม่ใช่ให้เศษ  แต่ให้ส่วนที่ดีที่สุด  หลายคนอ่านพระคัมภีร์ตอนง่วง  อ่านหนังสือพิมพ์หรือทำงานตอนสดชื่น   อย่างนี้พระเจ้าจะมาก่อนตรงไหน  พระเจ้ารู้น่ะครับ  พอพระองค์คือเจ้าของ พระองค์ก็อวยพระ  เราก็รุ่งโรจน์  ไปดีมาดี  อายุยืนยาว  จริงไหม ๖(6) พระพร ล้นเหลือ    “สิ่งเหล่านี้จะให้วันเดือนปี  ชีวิตยืนยาว  และอำนวยความสุขสมบูรณ์แก่เจ้า” (3:2) การกระทำเช่นนี้  จะเป็นที่ชุ่มเนื้อของเจ้า  และเป็นที่ชื่นฉ่ำแก่กระดูกของตน”( 3:8)   แล้วยุ้งของเจ้าจะเต็มด้วยความอุดม  และบ่อเก็บของเจ้าจะล้นด้วยเหล้าองุ่น” (3:10)  ครับ  อายุจะมั่นขวัญจะยืน  จะตายช้า  จะมีความสุขทั้งกาย และใจ จะมั่งคั่ง  จะมีเกียรติ  ทำอะไรก็จะราบรื่น  มีสันติสุข ( 3: 16-18)

 ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

 





Visitor 297

 อ่านบทความย้อนหลัง