อยากเห็นพระเยซู
We want to see Jesus.
ศ.บ
ยอห์น 12:21-23
“พวกต่างชาตินั้นจึงไปหาฟิลิป ซึ่งมาจากหมู่บ้านเบ็ธไซดา ในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะใคร่เห็นพระเยซู” ฟิลิป จึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์ กับฟิลิปจึงไปทูลพระเยซู และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะประสบเกียรติกิจ”
พระเยซู ทรงชมเชยคนที่เห็นความพิเศษของพระองค์ ทุกครั้ง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร
นายร้อยโรมัน
เมื่อตอนนายร้อย มาขอให้พระองค์ไปรักษาบ่าวของเขา นายร้อยบอกพระองค์ว่า “พระองค์ไม่ต้องเสด็จไปให้เสียเวลาหรอก เพียงแต่พระองค์เอื้อนเอ่ยตรัสเท่านั้น บ่าวก็จะหาย เพราะ คำสั่งของพระองค์ทรงอำนาจ ประกาศิตยิ่งกว่าคำบัญชาของแม่ทัพ พระเยซูชมนายร้อยว่า “เราไม่เคยเห็นใครท่ามกลางคนยิว เชื่ออย่างนายร้อยคนนี้”
หญิงชาวซีเรียฟินิเชีย
เมื่อหญิงชาวซีเรียฟินิเชีย พูดภาษากรีก มาขอให้พระองค์รักษาลูกสาวที่ผีโสโครกเข้าสิง พระองค์ตรัสว่า “เอาอาหารของลูกไปให้สุนัขก็ไม่สมควร” เธอกราบทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะย่อมกินเดนอาหารของลูก” พระเยซูตรัสตอบเธอว่า”หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” และลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติตั้งแต่ขณะนั้น” (มัทธิว 15:21-28) พระเยซูชมเชยเธอว่า “ความเชื่อของเธอมากยิ่ง”
คนโรคเรื้อนสะมาเรีย
คนโรคเรื้อนสิบคนมาขอให้พระองค์รักษา พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า ให้ไปเช็คร่างกายกับปุโรหิต ระหว่างทางพวกเขาหายดีหมดทุกคน แต่สุดท้ายมี คนโรคเรื้อนชาวสะมาเรียเพียงคนเดียวเท่านั้น ย้อนกลับมา ซบหน้าลง กราบขอบคุณพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “9 คน หายไปไหน ไฉนมีแต่คนโรคเรื้อน ต่างชาติคนเดียวมาขอบพระคุณ ” แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า “ลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายปกติ” (ลูกา 17:11-19) พระเยซูชื่นชมคนโรคเรื้อนคนนี้ ที่เขามิได้มุ่งเอาแต่พระพร แต่เขาอยากได้ผู้ให้พร ไม่อยากได้แค่ไข่ไก่ แต่อยากได้แม่ไก่ที่ออกไข่ให้ทุกวัน วันละฟองๆ ต่างหาก
อดีตโสเภณี
เมื่อหญิงคนหนึ่ง อดีตเป็นหญิงชั่ว เอาน้ำหอมมาชะโลมพระบาท และเอาผมของเธอเช็ดพระบาท ด้วยใจรักศรัทธา เทิดทูนพระเยซู พระองค์ชมเชยเธอต่อหน้าซีโมนคนฟาริสี “ซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำก็เป็นการสุดกำลังของเขา เขามาชะโลมกายของเรา ก่อนเพื่อการศพของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า การซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำ ก็จะเลื่องลือไป เป็นที่ระลึกถึงเขาที่ไหนๆ ที่ข่าวประเสริฐจะประกาศทั่วพิภพ” ( มาระโก 14:8)
ศักเคียส คนเก็บภาษี
เมื่อศักเคียส คนเก็บภาษี ตัวเตี้ย ขี้โกง อยากเห็นพระเยซู พระองค์พร้อมเสด็จไปพักบ้านของเขา เมื่อศักเคียสกลับใจใหม่ พระองค์ตรัสว่า “คนนี้เป็นลูกของอับราฮามด้วย” (ลูกา 19:1-10)
ในขณะที่ ผู้นำในนาซาเร็ธ บ้านเกิดเมืองนอน แลเห็นว่าพระเยซูเป็นลูก ช่างไม้ พวกเขาปฏิเสธ ไม่เชื่อ และจะผลักพระองค์ตกหน้าผา ในขณะที่พวกธรรมาจารย์ ปุโรหิต ซึ่งเป็นคนเคร่งพระบัญญัติ มีตำแหน่งสูงต่อต้าน พยายามจับผิด และวางแผนฆ่าพระเยซู ทหารโรมัน หญิงชาวไซโรโฟนิเชีย พูดภาษากรีก โรคเรื้อนชาวสะมาเรีย อดีตโสเภณี คนเก็บภาษี ซึ่งล้วนเป็นคนที่สังคมรังเกียจ ดูหมิ่นเหยียดหยาม กลับ แลเห็นความพิเศษของพระองค์ เขาเห็นว่าพระเยซูไม่ธรรมดา คนไทยเราว่า “ใกล้เกลือแต่กินด่าง” มีของดีแต่กลับแลไม่เห็น มีดีอยู่ใกล้มือไม่ถือเอา คนแขกเขาว่า “มีปาก แต่กินข้าวทางจมูก”
นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง
มีชาวกรีซจำนวนหนึ่ง “อยากเห็นพระเยซู”
ฝูงชนชาวยิวตามหาพระเยซู เพราะอยากกินอาหารอิ่ม ติดใจขนมปังและปลา แต่ความต้องการของชาวกรีซเหล่านี้ พวกเขา “อยากเห็นพระเยซู” เมื่อเรามาโบสถ์ ประชุมนมัสการ ประชุมอธิษฐาน เรียนพระคัมภีร์ ต้องถามตัวเองว่า “เราอยากพบใคร” “อยากได้อะไร” ลางทีสิ่งที่เราอยากได้ คือ “พระพร” ซึ่งแตกต่างจากคนต่างชาติกลุ่มนี้ พวกเขาคงเฝ้าจับตาดูพระเยซูมานาน คงติดตามฟังข่าวเรื่องพระองค์มาตลอด ผมเดาน่ะว่า พวกเขาคงจะนำมาวิเคราะห์
(1) พระเยซูสอนสัจจะธรรมชั้นเลิศ ไม่เหมือนใคร
(2) พระองค์ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่กว่าผู้เผยพระวจนะทั้งหลายที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ ทรงเปิดตาคนตาบอด เปิดปากคนใบ้ ขับผีออกจากคนที่ถูกผีสิง เรียกคนฟื้นจากความตาย เลี้ยงอาหารคนเป็นพันๆ ด้วยขนมปังและปลาไม่กี่ตัว
(3) พระองค์มีชีวิตที่ชอบธรรม ไม่ทำบาปแต่อย่างใด
ชีวิตของพระองค์เป็นแบบไป
(1) หมดทุกแง่มุม
(2) เปี่ยมด้วยความรักเมตตา ทรงเข้าข้างโสเภณีกลับใจที่ถูกรังแก มากกว่าเข้าข้าง พวกธรรมาจารย์หน้าไหว้หลังหลอก ที่พยายามเอาผิดคนอื่น (อย่างนี้ซิ ชอบ ชอบ ชอบ )
(3) ทรงกินอยู่กับคนเก็บภาษี เพื่อเปลี่ยนคนเก็บภาษีให้เป็นคนดี เลิกโกง
(4) ทรงสุภาพอ่อนโยน แม้แต่ เด็กๆ พ่อแม่เด็กๆ ก็อยากอยู่ใกล้ ไม่มีใครกลัวพระองค์
(5) สำหรับพวกหน้าซื่อใจคดที่รังแก หญิงม่าย เอาเปรียบชาวบ้าน คดโกง พระองค์ฟันไม่เลี้ยง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่กลัวเปลืองตัว (มันส์ มันส์ มันส์ )
(6) เมื่อพระองค์ถูกพวกยิวต้อน พยายามจับผิด แต่พวกนั้นต้องหน้าหงายกลับไปทุกครั้ง ทรงมีปฏิภาณตอบชั้นยอด
(7) คนที่มารู้จักพระองค์ ไม่มีใครกลับไปมือเปล่า ได้ดีทุกคน
พวกเขาคุยกันแบบคนที่วิจัยว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อย่างไร้ทิฐิ ในที่สุดพวกเขาก็ตกผลึก ฟันธง ลงความเห็นว่า “พระเยซูไม่ธรรมดา” เราต้องได้ไปพบพระองค์ “อยากเห็นพระเยซู” วันนี้เราได้นั่งวิเคราะห์พระองค์บ้างหรือเปล่า เมื่อมาโบสถ์ เราอยากได้อะไร เรารู้หรือไม่ว่า “ยอดเยี่ยมที่สุดที่คริสตจักรหยิบยื่นให้ คือ พระเยซู” อย่าพอใจ ถ้ามาโบสถ์แล้วไม่เห็นพระเยซู
วิธีพบพระเยซูของพวกเขา
(1) เขาไปหาฟิลิป สาวกคนหนึ่งของพระเยซู บอกว่า “ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะใคร่เห็นพระเยซู” ทำไมไปหาฟิลิป คงเป็นเพราะฟิลิป เป็นชื่อภาษากรีก พวกเขาเป็นกรีก คนพูดภาษาเดียวกันคุยกันรู้เรื่องง่ายกว่า ครับนี่เป็นเรื่องธรรมดา คนเหนือคุยกับคนเหนือ คนอีสานคุยกับคนอีสานด้วยกัน ง่ายกว่า สบายใจกว่า สาวกพระเยซูต้องพร้อมช่วยทุกคนที่อยากมาพบพระองค์ ให้เขาได้เห็นพระเยซู หากเราเป็นอนุชน เพื่อนอนุชนอยากพบพระเยซู เราต้องช่วยเขา ยอห์บรรยายสรรพคุณของฟิลิปเพิ่มเติมว่า เขา “มาจากหมู่บ้านเบ็ธไซดา ในแคว้นกาลิลี” ทำไมต้องบอกพื้นเพฟิลิปอย่างนี้ ก็คงจะเป็นเพราะ การเป็นคนบ้านนอกของฟิลิปเช่นนี้ ทำให้คนต่างชาติ รู้สึกว่าเข้ามาพบง่าย “เบธไซดา” แปลว่า “บ้านปลา” ก็อย่าดูถูกน่ะครับ ลางที การเป็นคนบ้านนอก คนบ้านๆ ของเราอาจะเป็นช่องทางให้คนอยากให้เราช่วยพาไปพบพระเยซูง่ายขึ้น ทุกวันนี้ คริสเตียนมักคิดตรงกันข้าม ถ้าใครจะเป็นผู้รับใช้นำคนมาพบพระเยซู คนนั้นควรเป็นคนกรุง ทันสมัย รู้เรื่อง ไอ ที อย่างดี เขาเป็นศาสตราจารย์ เป็นเศรษฐี ฯลฯ ครับ เผลอๆ สูงเกิน คนก็ขยาดเสียแล้ว
(2) ฟิลิป จึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์ กับฟิลิปจึงไปทูลพระเยซู ทำไมฟิลิปไม่พาคนกรีซเหล่านี้ไปหาพระเยซูด้วยตนเอง อันนี้เดาได้ไม่ยาก อันดรูว์กับซีโมนเปโตร เป็นคนบ้านเดียวกัน เป็นคนบ้านปลาเหมือนกัน ทั้งเป็นพี่เลี้ยงของตนด้วย (ยอห์1:44) การนำคนไปพบพระเยซู ให้เขารู้จักพี่น้องในพระกายพระคริสต์ หรือคริสตจักร ง่ายกว่า การพยายามนำเขาด้วยตัวเราเองคนเดียว โบสถ์มีกลุ่ม ระหว่างสัปดาห์มีประชุมกลุ่มเซลล์ การนำคนให้เขาพบพระเยซู โดยพึ่งกลุ่มสามัคคีธรรม หรือกลุ่มเซลล์ง่ายกว่าเยอะ นอกจากเขาจะได้ฟัง คำพยานของตัวเราเองคนเดียวแล้ว เขายังจะได้ฟังคำพยานของคนอื่นๆ ด้วย พระเยซูไม่ส่งสาวกออกไปทำงานเดี่ยวๆ โดดๆ พระองค์ส่งสาวกออกไปเป็นคู่ๆ ( ลูกา 10:1) การรักกันของสาวก ทำให้คนเห็นพระเยซู “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” (ยอห์น 13:35) เราต้องช่วยคนเป็นทีมครับ
3. เมื่อเขามาพบพระเยซูแล้ว พระองค์ตรัสว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะประสบเกียรติกิจ”
|