โหราจารย์ รู้เรื่องพระคริสต์ได้อย่างไร?
ศ.บ
“พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบ็ธเลเฮ็ม แคว้นจูเดีย ในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวกโหราจารย์ จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า กุมารผู้บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฎขึ้น เราจึงมาหวังจะนมัสการท่าน” (มัทธิว 2:1-2)
พระเยซูตรัสว่า “ขอแล้วจะได้ หาแล้วจะพบ เคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” พระคัมภีร์เล่าเรื่องโหราจารย์ หรือ นักปราชญ์ ติดตามดาวมาจนพบพระกุมาร ในมัทธิว 2:1-12 เราเข้าใจว่ามี 3 คน ก็เพราะพวกเขาถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมาร 3 ชิ้น คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ ถวายกันคนละชิ้น จึงน่าจะมีนักปราชญ์ 3 คน
เดินทางมาจากทิศตะวันออกของประเทศอิสราเอล อาจเป็นอิรัก (บาบิโลน) หรือ อิหร่าน (เปอร์เซีย)
ความเชื่อเกิดขึ้นเพราะมีผู้หว่านพระคำ
มองดูย้อนหลังไปสักหน่อย 500-600 ปี ก่อนคริสตศักราช ยิวเคยเป็นเชลยในบาบิโลน ในสมัยของกษัตริย์เนบูคัสเนสซา มีครั้งหนึ่งที่เนบูคัสเนสซาร์ ทรงพระสุบิน และเรียกบรรดานักปราชญ์มาชุมนุม และไต่ถาม ขอให้พวกนักปราญ์ทั้งหลายแก้ความฝัน แต่ก่อนอื่นให้พวกนักปราชญ์เหล่านี้ บอกพระองค์ก่อนว่า “พระองค์ทรงพระสุบินว่ากระไร” มันก็ยากน่ะซี แก้ฝันนี่พอทำได้ แต่ให้บอกว่าฝันว่ายังไงนี่ ปราชญ์ที่ไหนก็ไปไม่เป็น เมื่อพวกปราชญ์ทำไม่ได้ กษัตริย์ทรงกริ้ว จึงมีพระราชโองการ ให้นำปราชญ์เหล่านี้ไปฆ่าเสีย เมื่อดาเนียลทราบเรื่องจึงขอเข้าเฝ้า กราบทูลกษัตริย์กำหนดเวลา ขอแก้พระสุบิน คืนนั้น พระเจ้าทรงประทานนิมิต แจ้งให้ดาเนียลทราบถึงพระสุบิน เรื่องเทวรูป อันหมายถึงยุคต่าง ๆ ที่จะมีมา กษัตริย์ทรงพอพระทัยยิ่ง ขณะเดียวกันบรรดาปราชญ์ทั้งหลาย ต่างขอบอกขอบใจดาเนียล ผู้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ปราชญ์ทั้งหลายให้เกียรติ นับถือดาเนียลว่าเป็นปราชญ์เหนือปราชญ์ ทั้งสนใจในพระเจ้าของดาเนียล ศัตรูที่ต่อต้านดาเนียลเป็นพวกขุนนาง ไม่ใช่พวกปราชญ์
ความสนใจในพระเจ้า อยากแสวงหา
ต้นปี รัชกาลดาริอัส กษัตริย์ของบาบิโลน ดาเนียลได้รับนินิต เรื่อง “70 สัปตะ” แห่งปีกำหนด ไว้สำหรับชนชาติของท่าน และนครบริสุทธิ์ของท่าน..ตั้งแต่การที่ถ้อยคำนั้นออกไป ให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จนถึง “สมัยผู้ถูกเจิมไว้” ผู้เป็นประมุข ก็เป็นเวลา 7 สัปตะ และเยรูซาเล็มจะถูกสร้างขึ้นพร้อมกับลานเมือง และคู เป็นเวลา 62 สัปตะ แล้วท่านผู้หนึ่งที่ถูกเจิมไว้ จะต้องถูกตัดออก และจะไม่มีอะไรสำหรับท่าน” (ดาเนียล 9:24-26)
ดังนั้น ข้อบันทึกการเสด็จมาของ “ผู้ถูกเจิมไว้” คือพระเยซูนั้นเป็นที่ทราบกันดี ท่ามกลางบรรดานักปราชญ์ทั้งหลายในยุคนั้นและยุคต่อๆ มา นักปราชญ์ผู้ทึ่งในการแก้ฝันของดาเนียล ย่อมเลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้า ของดาเนียลด้วย บรรดานักปราชญ์จึงสนใจใน การเสด็จมาของ “ผู้ถูกเจิม” ผู้ถูกเจิม หมายถึง “พระเมสสิยาห์” หรือ “พระผู้ไถ่โทษ” ใครก็รู้ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของชาวโลก คือ มนุษย์ผู้ตกในบาป จะหลุดพ้นจากโทษของความผิดบาปได้อย่างไร ไม่มีหนทางใด เว้นไว้แต่พระเจ้าจะเสด็จมาไถ่โทษ หรือชำระหนี้บาปแทนคนที่กลับใจใหม่ และศรัทธาในพระองค์ นี่คือสิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด นี่คือสิ่งที่ชาวโลกรอคอยแต่พระองค์จะมาที่ไหน เมื่อใด นี่คือสิ่งที่ปราชญ์อยากค้นให้พบก็ไม่ยากเกินสำหรับคนที่แสวงหา
ตามคำทำนายของดาเนียล นานแค่ไหนจึงจะถึงเวลาที่พระเมสสิยาห์ เสด็จมา “สัปตะ” (weeks of the years) เป็นศัพท์ที่คนยิวใช้กันหมายถึง 7 ปีของชาวยิว (ลนต 25:3-4) จากคำทำนายที่ดาเนียลได้รับ อีก (1) 7 สัปตะ (49 ปีของชาวยิว) บวกกับ(2) 62 สัปตะ(434 ปีของชาวยิว) พระเมสสิยาห์จะเสด็จมา; 7 + 62 เท่ากับ 69 สัปตะ หรือ 483 ปีของชาวยิว (1 ปีของชาวยิว = 360 วัน ไม่ใช่ 365 วันอย่างที่เรานับกัน )เมื่อคำนวณการเสด็จมาของพระเยซู เป็นวัน จึงนับได้ว่าอีก 483 x 360 = 173,880 วัน พระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ที่นี้จะเริ่มนับเวลากันตั้งแต่เมื่อใด ตามคำทำนายของดาเนียล จะเห็นว่าเริ่มนับเวลาตั้งแต่พระราชานุญาต ให้ไปสร้างกรุงเยรูซาเล็ม ได้ประกาศออกไป เรื่องนี้ไม่ยาก หลังจากกรุงเยรูซาเล็มแตก 70 ปี กษัตริย์อาทาร์เซอซีส แห่งเปอร์เซียได้มีพระราชานุญาตให้ เนหมีย์ นำคนยิวกลับไปสร้างกำแพงเมืองนั่นคือวันที่ 14 กคศ 445 (เนหมีย์ 2:8)
เมื่อบวก ปีอธิกสุรทิน 119 วัน (ทุก4ปี มีวันเพิ่ม 1 วัน นั่นคือ 476 ปี มีวันเพิ่ม 119 วัน) และหัก เวลาของพระเมสสิยาห์ปรากฏอย่างกษัตริย์ (ซึ่งทุกวันนี้เรารู้ดีว่าคือ “วันปาล์ม ซันเดย์” คือ วันที่ 6 เมษายน คศ. 32) ปราชญ์สมัยนั้น ไม่ทราบว่า จากวันที่พระองค์ประสูติ จนถึงวันที่จะปรากฏพระองค์ ในที่สาธารณะว่านานเท่าไร ก็คาดว่า น่าจะเป็น 30-40 ปี
เมื่อหักออกจาก 173,880 วันแล้ว ทำให้ปราชญ์ทราบเวลาที่พระคริสต์บังเกิดโดยประมาณ ผมเขียนวิธีการคำนวณเวลาของปราชญ์มาเสียยืดยาวที่ผมชอบพวกปราชญ์เหล่านี้ ก็เพราะเขาสนใจการมาของพระเมสสิยาห์ เขาค้นคว้า ในขณะที่คนจำนวนมากแม้แต่ชาวยิวเองก็ไม่สนใจด้วยซ้ำ
ดาวประหลาด จากพระเจ้า
ประจวบกับ ปราชญ์เห็นดาวปรากฏขึ้น จึงพากันออกเดินทางมุ่งหน้ามาทางประเทศอิสราเอล ดาวที่ปรากฏขึ้นก็ต้องมาจากพระเจ้า ปราชญ์ไม่ได้เห็นดาวตลอดเวลา เมื่อมุ่งหน้ามาที่เยรูซาเล็ม เมืองหลวงของยิว พวกเขาถามหาความจริงจากวังของกษัตริย์เฮโรดว่า “กุมารที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราเห็นดาวปรากฏขึ้น เรามาเพื่อจะนมัสการท่าน” (มัทธิว 2:2) คนเราเมื่ออยากค้นหาให้พบ ไม่รู้ก็ต้องซักต้องถาม เมื่อทราบว่าเป็นบ้านเบธเลเฮ็ม เหล่านักปราชญ์ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปเบ็ธเลเฮ็มทันที “และดาวซึ่งเขาได้เห็นเมื่อปรากฏขึ้นนั้นก็ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่พระกุมารอยู่นั้น” ผมไม่คิดว่าเป็นดาวทั่วไป เพราะดาวทั่วไป ปกติ มิได้หยุดส่องแสงเฉพาะมาที่บ้านหลังใดหลังหนึ่ง อย่างดาวดวงนี้ ที่ส่องตรงมายังบ้านพักของพระกุมาร ผมจึงเห็นว่าน่าจะเป็นดาวดวงพิเศษ จากการจัดเตรียมของพระเจ้า คนที่อยากพบพระเจ้า พระเจ้าย่อมนำทางเขา พระเจ้าจะช่วยเขาด้วยวิธีการพิเศษ เช่น นำคนมาพบ ให้สถานการณ์บางอย่างประจวบเหมาะ เปาโลกล่าวว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า พระคุณของพระเจ้ามุ่งชักนำให้ท่านกลับใจเสียใหม่” (โรม 2:4)
นมัสการเพราะศรัทธา
ปราชญ์เหล่านี้มานมัสการด้วยใจศรัทธาเห็นว่าพระเยซูไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา พระองค์คือพระผู้สร้างโลกและจักรวาล มาประสูติในโลกเพื่อไถ่โทษบาป จะมีสิ่งใด โอกาสใดในโลกที่ประเสริฐกว่านี้ พวกเขานำของมาถวายพระกุมาร คือ ทองคำ ,หมายถึง พระองค์ผู้รับการเจิมเป็นกษัตริย์(ดาเนียล 9:25) ; กำยาน หมายถึง พระผู้เสียสละ(ดาเนียล 9:26) และ มดยอบ หมายถึง พระผู้พลีพระชนม์ชีพเพื่อไถ่โทษทัณฑ์
ให้เรามีใจอย่างนักปราชญ์เหล่านี้ เสาะหาพระคริสต์ เพื่อนมัสการพระองค์ จงหาแล้วจะพบ ไม่มีใครที่เสาะหาพระองค์จริงจัง และยังไม่พบ ปราชญ์เหล่านี้พบพระเยซูโดยการค้นคว้าซักถาม สังเกต ที่สำคัญเขาลุกขึ้นมาตามหาพระองค์ มิได้นั่งอยู่เฉยๆ พระเจ้าทรงปรารถนาช่วยให้ผู้ที่แสวงหาพบพระองค์ได้ไม่ยาก เมื่อเราพบพระองค์เป็นการส่วนตัว เราจะไม่เหมือนเดิม พระเจ้าจะประทานชีวิตใหม่ สันติสุข ความชื่นชมยินดีให้แก่เรา
|