ทรงให้เราอยู่ เพื่ออะไร?

ศ.บ

 

 

         “ข้าพระองค์มิได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ ให้พ้นจากมารร้าย” (ยอห์น 17:15)

ก่อนที่พระเยซูจะจากโลกนี้ไป พระองค์ทรงสัญญาว่า พระองค์จะไป และกลับมาอิก รับพวกสาวกให้ไปอยู่กับพระองค์

พระองค์อยู่ที่ไหน พวกเขาจะอยู่ที่นั่นด้วยหวานชื่นแท้

เหมือนคู่หมั้นที่รักกันแล้วก็ไม่อยากพรากจากกันไปไหนก็ไปด้วยกัน

กินด้วยกัน อยู่ด้วยกัน เป็นปาต้องโก๋แต่พอพระเยซูจะจากโลกนี้ไปหาพระบิดา

พระองค์กลับต้องการให้เราอยู่ในโลกต่อไป ทำไมล่ะ?

พระองค์ทรงทราบดีว่าโลกนี้เป็นอย่างไร และทรงทราบด้วยว่าเราเป็นอย่างไร โลกมืดมน สิ้นหวัง แต่เรามีชีวิตใหม่

และมีความความหวัง  โลกไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ โลกเข้าใจว่าพระเยซูวายพระชนม์แล้วไปลับ

ไปไม่กลับหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีเหมือนคนทั้งหลาย แต่เรารู้ดีว่า พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ และเป็นพระเจ้า

โลกพินาศ แต่เราได้รับความรอด

“ข้าพระองค์มิได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก” เป็นพระประสงค์ของพระเยซู ที่ปรารถนาให้ท่านซึ่งเป็นผู้เชื่อ

อยู่ในโลกนี้ต่อไป เพื่ออะไร? เพื่อจะได้อยู่ในโลกอย่าง สำเริงสำราญหรือ

เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินอีกสักระยะหนึ่งก่อนไปสวรรค์หรือ สวรรค์ไม่สำราญกว่านี้หรือ

คงไม่ใช่เพื่อความสุขสนานอย่างแน่นอน แต่พระประสงค์ ก็เพราะให้เราได้ช่วยเหลือคนอื่น

เปาโลบอกว่า ท่านปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า มากกว่าอยู่ในกายนี้

พูดง่าย ๆ คือ อยากไปมากกว่าอยากอยู่ แต่ท่านตัดสินอยู่ก็ เพื่อจะได้ช่วยคนอื่น (2 โครินธ์ 5:8-9)

เหตุที่ละ เราไว้ในโลก ก็เพื่อดังนี้

 

 

1. ให้เราเป็นความสว่างของโลก (มัทธิว 5:14) โลกมืดมน คนไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ไม่รู้ซ้ายรู้ขวา (โยนาห์ 4:11)

มารทำให้คนตาบอด “ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้ทำให้ใจของเขามืดมนไป

เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความสว่างแห่งข่าวประเสริฐ

เรื่องพระสิริของพระคริสต์ ผู้เป็นแบบพระฉายของพระเจ้า”( 2 โครินธ์4:4)

เป็นทั้งคนที่มีการศึกษา และคนขาดการศึกษาในมหาวิทยาลัย

นักปรัชญาสอนว่าโลกไม่มีพระเจ้า ตัวเองคือพระเจ้า นอกมหาวิทยาลัย ชาวบ้านวิ่งไปหาคนทรงเพื่อใบ้หวย

เป็นความสว่างก็เพื่อให้เราได้ประกาศพระกิตติคุณเพื่อให้เพื่อนบ้านของเราได้รู้ความจริง รู้ว่าโลกมีพระเจ้า

สองวันที่ผ่านมา ผมคุยกับน้องคนหนึ่งมาแต่จังหวัดเลย มาอยู่กรุงเทพ ฯคุยกันหลายเรื่อง

ผมถามว่าความสุขของเขาอยู่ที่ไหน เขาบอกว่า “งาน” กับ “การกินเหล้ากับเพื่อนๆ ตอนเย็น”

อยู่ไปอย่างนี้วันต่อวัน ผมเล่าให้เขาฟังว่า พระเจ้าสร้างเขาขึ้น เขามีพ่อที่มั่งคั่ง ที่รักเขาด้วย เขาสนใจ

ผมคิดว่านี้คือสภาพของคนไทยจำนวนไม่น้อย พระเจ้าให้เราเป็นความสว่าง

 

2. ให้เราเป็นเกลือแห่งโลก พระเยซูทรงประสงค์เรา ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมด้วย ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก

ถ้าเกลือหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับ เค็มอย่างไรได้” (มัทธิว 5:13) ชีวิตคริสเตียนแตกต่าง

เมื่อเขากระวนกระวาย เราสงบ

เมื่อเขาเห็นแก่ตัว เรารักเขา เมื่อเขาขลาดกลัว เราวางใจพระเจ้า เมื่อเขาแย่งชิง เราแบ่งปัน

เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกา

ทุกคนต่างแตกตื่น และพากันเอาตัวรอด นักข่าวคริสเตียนคนหนึ่ง เขาเข้าไปทำข่าว ที่น่าทึง และทำให้สมรภูมิรบที่โหดร้าย

และหมิ่นเหม่กับความตาย กลายเป็นบรรยากาศที่น่าดูชม ก็คือ เขาไม่ได้หวงชีวิตตนเอง

เขาไม่ได้พะวงว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร

แต่เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เขาจะช่วยคนอื่นอย่างไร ดูสีหน้าเขา กับสีหน้าทหารและฝูงชน มันก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เขาเป็นเกลือในสนามรบโดยแท้ คนเห็นพระเจ้าในตัวเขา

พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวงเพื่อว่า

เมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์” (มัทธิว 5:16)

 

3. ให้เราเป็นตัวแทนของพระเยซู ลองคิดดูซิ พระราชกิจของพระองค์สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน 

พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นจากความตาย เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แต่มีใครรู้บ้าง

มีแต่บรรดาสาวก ที่รู้ เข้าใจ และสัมผัส

ต่อแต่นี้ภาระกิจสำคัญในการประกาศให้โลกรู้จึงเป็นของบรรดาสาวกทั้งหลาย คริสตจักรเริ่มขึ้นหลังจาก 

พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ 10 วัน สาวกในพระธรรมกิจการเป็นแบบอย่าง พวกเขารู้ดีว่า

พระองค์ละพวกเขาไว้ในโลกนี้ทำไม?

บรรดาสาวก จึงออกไปประกาศพระกิตติคุณตามพระมหาบัญชา

คริสตจักรเป็นตัวแทนของพระคริสต์ในโลก 

(ยอห์น 13:35)

“ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละ คนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”

ถึงวันนี้ เรายังคงทำหน้าที่ตัวแทนของพระองค์ในโลกอย่างเดียวกัน

ถ้าเราไม่มุ่งทำตามพระมหาบํยชาเช่นนี้

ก็ไม่รู้ว่าพระองค์ละเราไว้ในโลกทำไม ให้เราจากไปเร็วคงจะดีกว่า

 

 

 

4. ทรงประทานการปกป้องจากศัตรู “ข้าพระองค์มิได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก

แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย” (ยอห์น 17:15)

พระเยซูมิได้ทูลพระบิดาให้รีบรับเราไปสวรรค์ แต่ทูลขอการปกป้องจารมารร้าย

พระองค์ทรงทราบดีว่า การออกไปประกาศ เป็นการออกไปเผชิญหน้าศัตรู

มารไม่ชอบแน่ มารมันไม่ยุ่งไม่ต่อต้านอะไร

หากเราไม่ประกาศพระกิตติคุณ มันนั่งยิ้ม

แต่เมื่อเราประกาศ มันก็ลุกขึ้นต่อสู้ ต่อต้าน ก่อนที่พระเยซูจะอธิษฐาน

“ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก

โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก ฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน”

(ยอห์น 16:19)

พวกยิวเล่นงานพระเยซู ตรึงพระองค์ถึงกางเขน

วันนี้การข่มเหงผู้เชื่อยังมีคงมีอยู่ แต่พระเยซูทูลขอพระบิดาขอ

การปกป้อง เราจากมารร้าย การอยู่ในโลกเพื่อช่วยคนทุกข์ที่อยู่ในอำนาจของมาร เราต้องเข้าไปใกล้ชิดเขา

พระเยซูอยู่กินกับคนเก็บภาษี เพื่อช่วยเขา พระองค์ไม่ได้ร่วมโกงกับคนเก็บภาษี

แต่ช่วยเขาให้เลิกคดโกง เหมือนอย่างพระองค์ทรงช่วยศักเคียส

พระเยซูช่วยหญิงโสเภณี พระองค์มิได้รังเกียจ ทรงรักเขา แต่ทรงเกลียดชัง

ความบาปที่เขาทำ ทรงช่วยเขาออกมาจากอำนาจมาร การอยู่ในโลกเพื่อช่วยคนทุกข์

ไม่ใช่ แยกตัวออกมาอยู่อย่างปลอดภัย ไกลตัวเขา เราต้องเป็นพื่อนกับเขา และนำเขาออกมาจากโลก

แน่นอนโลกไม่ชอบ มารไม่ชอบ ทั้งต่อต้านด้วย แต่พระเจ้าจะทรงปกป้องเราที่ออกไปช่วยคน

 

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ




Visitor 143

 อ่านบทความย้อนหลัง