ฟินนี่ เล่าเรื่องการกลับใจของตน
แปล และย่อความโดย ศิษยาภิบาล
ชาร์ล จี ฟินนี เล่าเรื่องการกลับใจของตน
ผมเกิด วันที่ 29 เดือนสิงหาคม 1792 ที่เมือง วาร์เรน ลิชฟิลด์ คันทรี รัฐคอนเนคติคัท พออายุได้ 2 ขวบคุณพ่อก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองโอไนดา รัฐนิวยอร์ค ซึ่งสมัยนั้นพื้นที่ยังเป็นป่าเสียส่วนมาก ไม่มีใครชื่นชมกับศาสนา หนังสือเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าก็มีน้อยมาก ประชากรส่วนมากย้ายมาจาก รัฐนิว อิงแลนด์ พอย้ายมาถึงก็ตั้งโรงเรียนมัธยมขึ้น ท่ามกลางพวกเขาก็ไม่มีนักเทศน์ที่ประกาศพระกิตติคุณ แต่ผมก็ชอบการเรียนที่โรงเรียนมาก จนอายุประมาณ 15-16 ปี ผมเรียนได้ดีถึงขั้นพอจะเป็นครูได้ คุณพ่อคุณแม่ของผมเป็นคริสเตียนที่ไม่เคร่ง แต่ผมก็คิดว่า ไม่มีใครท่ามกลางเพื่อนบ้านของเราที่เคร่งในพระเจ้า นานๆ ผมจะได้ยินนักเทศน์พิเศษมาเทศนา เขาเทศไม่ได้เรื่อง ผมมักได้ยินคนที่ไปฟังกลับมาหัวเราะ และล้อเลียนนักเทศน์ที่พูดผิดๆถูกๆ
พอผมอายุ 20 ปี ผมย้ายกลับมาอยู่ที่ รัฐคอนเนคติคัส ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ที่ รัฐนิวเจอร์ซี ซึ่งอยู่ติดกับนิวยอร์ค ซิตี้ ผมสอนหนังสือเด็กนักเรียน ทั้งสอนและเรียนไปด้วยพร้อมๆกัน ผมเดินทางไปเรียนชั้นเตรียมอุดมที่รัฐนิว อิงแลนด์ ขณะเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษา ผมก็สมัครเข้าเรียนที่ วิทยาลัยเยลไปด้วย ผมเรียนหลักสูตร 4 ปี จบในเวลา 2 ปี ครูที่สอนผม อยากให้ผมไปสอนหนังสือร่วมกับท่านที่รัฐทางตอนใต้ ครั้งแรกผมมีใจเห็นด้วย แต่พอเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง ท่านทั้งสองไม่เห็นด้วย อยากให้ผมกลับบ้าน ไปอยู่ที่เมืองเจฟเฟอร์สัน ในรัฐนิวยอร์ค หลังจากเยี่ยมพ่อแม่แล้ว ผมตัดสินใจไปทำงานในสำนักงานทนายความ ที่เมืองอาดัม
นักเทศน์ในสมัยนั้นไม่ดึงดูดใจคนฟังเอาเสียเลย ท่านเป็นคนดี แต่เทศนาเสียงราบเรียบ ท่านอ่านคำเทศน์อย่างจืดชืด แต่คนฟังก็ให้เกียรติ และชมเชยท่าน ตอนที่ผมอยู่ที่รัฐนิวเจอร์ซี ส่วนมาก นักเทศน์ เทศนาเป็นภาษาเยอร์มัน ในช่วง 3 ปีที่รัฐนิว เจอร์ซี ผมได้ยินเขาเทศนาเป็นภาษาอังกฤษไม่เกิน 6 ครั้ง เมื่อผมไปเรียนกฎหมายที่เมืองอาดัม ผมไม่รู้เรื่องพระคัมภีร์เอาเลย ในการศึกษากฎหมายเบื้องต้น ผมพบว่า ผู้เขียนมักหยิบพระคัมภีร์มาอ้างอิง กฎหมายของโมเสส และถือเป็นหลักให้แก่ กฎหมายทั่วไป เรื่องนี้ทำให้ผมตื่นเต้น และอยากเรียนรู้พระคัมภีร์มากขึ้น ผมซื้อพระคัมภีร์เล่มหนึ่งเป็นสมบัติส่วนตัว ได้เห็นประจักษ์สิ่งที่กฎหมาย ยกข้อพระคัมภีร์มาอ้าง ไม่นานนักผมก็ติดอกติดใจพระคัมภีร์ ผมอ่าน ภาวนา มากยิ่งกว่าในอดีตที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผมยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์เสียส่วนมาก
มิสเตอร์ เกล ชอบแวะเวียมาหาผมที่สำนักงาน เพื่อถามไถ่ว่า คำเทศน์ของท่านในวันอาทิตย์เป็นยังไงบ้าง ผมติดอกติดใจอะไรไหม ผมเคยคุยกับท่านอย่างอิสระ เปิดใจ เคยติคำเทศน์ของท่านอย่างไร้เมตตาด้วย ผมถามคำถามท่านหลายข้อ ที่ท่านตอบไม่ได้ เช่น การกลับใจ คืออะไร แปลว่า รู้สึกเสียใจกับใช่ไหม หรือมันคือการเปลี่ยนความคิด มันเกี่ยวกับการเลือกของเราหรือไม่ ถ้ากลับใจคือการเปลี่ยนความติด เราเปลี่ยนในเรื่องใด การบังเกิดใหม่แปลว่าอะไร ความเชื่อคืออะไร หมายถึงความมั่นใจในความคิดใช่ไหม การทรงชำระแปลว่าอะไร แปลว่าเราต้องเปลี่ยนภายนอกใช่ไหม พระเจ้าเกี่ยวข้องด้วยไหม อย่างไร เราสนทนากันหลายเรื่อง แต่คำถามต่างๆเหล่านี้ กลับกลายเป็นการกระตุ้นความคิดของผมเอง เพราะผมไม่ได้รับคำตอบที่จุใจเลย
แต่ผมก็ขยันอ่านพระคัมภีร์ และไปประชุมอธิษฐาน ผมทราบว่า มิสเตอร์ เกล นำสิ่งที่สนทนากับผมไปคุยกับคณะผู้ปกครอง เป็นครั้งเป็นคราว ซึ่งทำให้ผมไม่สบายใจ ท่านลงความเห็นว่า สภาพจิตใจของผมเช่น ทำให้ผมไปสวรรค์ไม่ได้ ถ้าผมตายจากโลกนี้ไป ทำให้ผมรู้สึกว่า ความเชื่อในพระเจ้านั้นมีความสำคัญมาก ถึงขั้นบ่งชี้เส้นทางว่า หลังความตายแล้ว เราจะไปอยู่ที่ไหน ผมเองต้องการการเปลี่ยนแปลงใจภายในครั้งใหญ่ เพื่อผมจะพร้อมไปสวรรค์ได้ แต่ผมก็ยังไม่อาจเข้าใจพระกิตติคุณของคริสเตียน
ผมสังเกตว่า คำอธิษฐานทูลขอเรื่องต่างๆ ในประชุมอธิษฐานที่ผมไปร่วมทุกๆสัปดาห์นั้น ไม่เห็นใครได้รับคำตอบอะไร แต่เมื่ออ่านพระคัมภีร์ ผมพบว่า พระคริสต์สอนว่า เมื่อเราอธิษฐาน เราจะได้รับคำตอบง่ายดาย พระองค์ตรัสว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ เคาะแล้วจะเปิดให้” คำถามต่างๆเหล่านี้ทำให้ผมสับสน
ตอนเย็นของสะบาโต วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1821 ผมตั้งใจว่าผมจะต้องแสวงหาความรอด โดยเร็ว ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากมีสันติสุขกับพระเจ้า เมื่อผมง่วนอยู่กับงานในสำนักงาน ผมย่อมไม่ว่าง ผมไม่อยากให้ธุรกิจที่ผมทำ เบี่ยงเบนความสนใจผมไปจากการแสวงหาความรอด วันจันทร์และวันอังคาร ผมไม่มีงานแน่นหนาเกินไป ทำให้ผมมีเวลาอ่านพระคัมภีร์ และอธิษฐาน
แต่ผมก็เย่อหยิ่งโดยไม่รู้ตัว ผมต้องการซ่อนไม่ให้ใครรู้ว่า ผมกำลังแสวงหาพระเจ้า เวลาอธิษฐานผมจะกระซิบเป็นเสียงเบาๆ เวลาเข้าห้องนอนผมจะปิดประตูใส่กลอน ไม่ให้ใครรู้ว่าผมกำลังอธิษฐาน ผมเอาพระคัมภีร์มาวางไว้ใต้หนังสือกฎหมาย ผมอายหากมีใครรู้ว่าผมอ่านพระคัมภีร์ ถ้าไม่เอาหนังสือกฎหมายมาวางทับพระคัมภีร์ ผมก็จะเก็บพระคัมภีร์ไว้ให้พ้นสายตาคน แทนที่จะไปหาใครสักคน ผมไม่อยากไปกลับใจต่อหน้าคน ผมไม่อยากไปพบ ศบ. ไม่อยากบอกให้ท่านทราบว่า ผมคิดอย่างไร อีกอย่างหนึ่ง ผมก็กลัวว่าเขานำผมหลงทาง ถึงวันจันทร์ วันอังคาร ผมยิ่งมีความรู้สึกเรื่องนี้รุนแรงขึ้น ใจผมยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้น ผมอาย และไม่อยากเสวนากับใคร ผมไม่ร้องไห้ ไม่อธิษฐาน ผมอยากมีที่สงัด เพื่อผมจะได้ เข้าเฝ้า 2-3 วัน ค่ำวันอังคาร ผมเครียดมาก ความรู้สึกแปลกๆเข้ามาครอบงำ ผมรู้สึกว่าผมอาจตายได้ แต่ก็รู้ว่า ถ้าผมตายไป ผมต้องลงนรกแน่ๆ ตอนเช้าผมเดินทางไปที่ทำงาน ผู้รู้สึกว่ามีผู้มาเผชิญหน้าผม มีคำถามผุดขึ้นในใจผมว่า “เจ้ากำลังรอคอยอะไรอยู่?” “เจ้าสัญญามิใช้หรือว่า จะมอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้า” “เจ้าพยายาม ทำให้ได้ความรอดด้วยตนเองหรือ?” ผมเห็นว่า งานที่พระคริสต์ทรงกระทำนั้นสมบูรณ์แล้ว ผมหยุดยืนอยู่ที่ถนน ตรงเสียงนั้นก้องเข้ามาในหู แทนที่จะเข้ายังที่ทำงาน ผมเดินเข้าไปในป่า ผมอยากได้ที่เปลี่ยว ที่ไม่มีใครรู้เห็น เพื่อผมจะได้เทหัวใจอธิษฐาน ความหยิ่งผยองยังอยู่ในใจผมเต็มตัว แม้เข้าไปในป่าแล้ว ผมยังกลัวสายตาของคน ผมเดินเข้าไปจนไปอยู่อีกด้านหนึ่ง ผมพบที่อธิษฐาน กลางต้นไม้ 2-3 ต้นที่โค่นลงมา ผมร้องทูลพระเจ้าว่า “ผมขอมอบหัวใจของผมให้พระองค์ ก่อนที่ผมจะเดินออกนอกทาง
เมื่อผมอธิษฐาน ผมรู้สึกว่า ใจผมมันไม่ไปด้วย ผมหาที่เปลี่ยวเพื่อจะได้ร้องอธิษฐานไม่ให้ใครได้ยิน แต่พอมาถึงผมกลับอธิษฐานไม่ได้ ผมไม่มีอะไรจะบอกพระเจ้า ผมอาจอธิษฐานออกไป 2-3 คำแต่มันก็ไม่ได้ออกมาจากใจ ผมรู้สึกท้อถอย อ่อนล้า ที่นี่เองที่ผมเริ่มแลเห็นความเย่อหยิ่งของตัวเอง สำนึกว่าตนเองเป็นคนชั่ว ที่กลัวคนจะรู้ว่าผมอธิษฐาน ผมร้องไห้ต่อพระเจ้า ถึงตรงนี้ พระคัมภีร์ตอนหนึ่งแวบเข้ามาในใจ
“แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า เจ้าจะแสวงหาเรา และพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” ผมรีบยึดพระคำข้อนี้ไว้มั่น
ผมรู้ว่านี้คือพระสุรเสียงของพระองค์ที่ทรงตรัสกับผม ผมร้องบอกพระองค์ “พระองค์เจ้าข้า ข้าฯขอยึดตามพระวจนะนี้” แล้วพระองค์ก็ทรงประทานคำสัญญาอื่นๆมาให้อีกหลายข้อ ผมรับทุกข้อ ผมยังอธิษฐานต่อไป ผมไม่ทราบว่ามันนานแค่ไหน ผมลุกเดินออกจากป่าไปยังถนน ผมบอกพระองค์ว่า “ถ้าผมได้กลับใจใหม่ ผมจะประกาศพระกิตติคุณ”
ผมออกเดินจากป่า มาจนถึงหมู่บ้าน พยายามคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับผม ผมพบว่าความคิดของผมเงียบสงัด มีสันติสุข ผมบอกตัวเองว่า “นี่มันคืออะไรกัน ผมต้องทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย ผมห่วงใยแต่ความรอดของตัวผมเอง” เมื่อถึงมื้ออาหารเย็น ผมไม่หิว ผมอยากเดินไปที่สำนักงาน พอผมเริ่มร้องเพลง ผมก็ร้องไห้ พยายามกลั้นตา แต่ไม่สำเร็จ วันนั้นเขามีการโยกย้ายหนังสือและสิ่งของในที่ทำงานเดิมไปไว้ที่ใหม่ พอมาถึงที่ใหม่ ผมปิดห้องอธิษฐาน “ผมอยากเทใจ ของผมทั้งหมดให้พระเจ้า” ลุกขึ้นจากที่อธิษฐาน ผมรู้สึกดีมากๆ ผมเดินไปรอบๆห้อง รู้สึกเหมือนได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า พระองค์ได้ตรัสอะไร แต่รู้สึกว่าพระองค์ทรงมองดูผม ผมคุกเข่าลง เทใจออกอธิษฐาน ผมร้องไห้เสียงดังเหมือนเด็กเล็กๆ สารภาพผิด เท้าของผมชุ่มด้วยน้ำตา ผมได้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยที่ผมไม่ได้คาดหมายมาก่อน ผมไม่เคยได้ยินใครในโลก พูดเรื่องนี้มาก่อน ผมรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านตัวผม เป็นคลื่นแห่งความรัก เหมือนได้มาอยู่ในร่มปีกของพระองค์ คลื่นนี้ถาโถมเข้าหาผมลูกแล้วลูกเล่า ผมทูลพระองค์ว่า “ผมต้องตายแน่ๆ หากคลื่นนี้ไม่หยุดซัดเข้ามา พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทนไม่ไหวแล้ว”
ดึกสักหน่อยแล้ว สมาชิกคนหนึ่งในคณะนักร้องมาหาผม ( ผมเป็นหัวหน้าคณะนักร้อง ) เขามาหาตอนที่ผมกำลังร้องไห้เสียงดัง เขาถาม “คุณฟินนี่ อะไรเกิดขึ้นกับคุณ” ผมอึ้งไปพักใหญ่ เขาถามอีก “คุณเจ็บปวดอะไรหรือเปล่า” ผมรวบรวมกำลังและตอบเขาไปว่า “ไม่ แต่ผมดีใจที่ผมมีชีวิต”
เขาออกจากสำนักงาน และไปบอกผู้ปกครอง เล่าเรื่องของผมให้ท่านฟัง บ้านของผู้ปกครองท่านนี้อยู่เยื้องกับสำนักงานของผม ท่านเป็นคนดุ จริงจัง ผมไม่เคยเห็นท่านหัวเราะ เขาถามว่าผมรู้สึกอย่างไร และผมก็เริ่มเล่าให้ท่านฟัง แทนที่ท่านจะพูดอะไร ท่านกลับหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ดูเหมือนว่าท่านจะหยุดหัวเราะไม่ได้ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมายังที่ทำงาน ขอให้ผมอธิษฐานเผื่อเขา บางครั้งผมถามตัวเองว่า เป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่ผมจะอธิษฐานเผื่อเด็กหนุ่มคนนี้ พระวิญญาณตรัสกับผมว่า “เจ้าสงสัยหรือ” ผมบอกพระองค์ว่า “ผมไม่สงสัย” ความรู้สึกผิด ที่เคยฟ้องตัวผมมันหายไป ตรงกันข้าม หัวใจของผมเต็มไปด้วยความรัก ความผิดบาปในอดีตหลุดออกไป “ผมรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความรักของพระองค์”
ชาร์ล จี ฟินนี่ นักเทศน์ ผู้ประกาศที่นำคนมาหาพระเจ้าในยุคของท่านประมาณ ครึ่งล้านคน ทั้งๆที่ในสมัยนั้นไม่มีรถยนต์ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีทีวี ผู้เชื่อที่มาหาพระเจ้าในยุคนั้น 80 % ยังคงเกดินกับพระเจ้าตลอดชีวิต
|