ระบบย่อยอาหาร (2)

 

      ศิษยาภิบาล

 

              เบื่อแล้วหรือยัง   เล่าต่อนะครับ

            

1. กระเพาะอาหาร (The Stomach)                                                                                                                   

             จากหลอดอาหาร   อาหารที่เรากินจะลงไปยังกระเพาะ.  ซึ่งอยู่ด้านบนซ้ายของช่องท้อง    ใต้กระบังลม   มีขนาดวัด (ตอนท้องว่าง) จากด้านบน ถึงด้านล่าง ประมาณ 10  นิ้ว  กว้างประมาณ 5 นิ้ว  เป็นกล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้  ซ้อนกัน 3 ชั้น  ด้านในบุด้วยผนังเมือก  ทำให้กระเพาะอาหาร เหนียวมาก  ท่านที่เคยรับประทานกระเพาะวัวรู้ดี ว่าเหนียวแค่ไหน  ถ้าจะต้มให้เปื่อยด้วยไฟธรรมดาต้องต้มเป็นวันเป็นคืน  ว่ากันว่าผนังกระเพาะนี่เหนียวเอาการ  อะไรก็ซึมผ่านไม่ได้ กรดยังผ่านยากเลย  หน้าที่ของ กระเพาะอาหารมี  3  อย่าง  คือ   (1) พักอาหารไว้ชั่วคราว (2) เคล้ากับน้ำย่อยให้เรียบร้อย (3) ทยอยป้อนสู่ลำไส้  อาหารที่เรากินเข้าไป จะอยู่ในกระเพาะของคนเรานานประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก่อนจะถูกส่งต่อไปยังลำไส้เล็ก   ถามว่ามันอยู่ที่กระเพาะนานขนาดนี้ทำไม คำตอบคือ อาหารคลุกเค้ากับน้ำย่อยที่นี่   เหมือนเราเอาผ้าเข้าไปในเครื่องซัก  ราวกับเอาเนื้อใส่ในเครื่องบด ถูกกัดด้วยสารเคมีเละจนได้ที่   ที่เขาเรียกว่า Chyme

      

2.  น้ำย่อยในกระเพาะ

         น้ำย่อยในกระเพาะ(Gastric Juice)  มี “เปบซิน” ที่เกิดจากการกระตุ้นของกรดเกลือ (Hydrochloric Acid) ไว้ย่อยโปรตีน  กรดเกลือที่กระเพาะหลั่งออกมานี้ เข้มข้นยิ่งกว่าน้ำมะนาวเยอะ  ขนาดว่าถ้ามาหยด

 

ลงที่ฝ่ามือ ก็กัดมือแสบจนร้องโอยก็แล้วกัน      เปปซินและกรดเกลือ เปรียบเหมือนผงซักฟอกในเครื่องซักผ้า  ฟอกนานเป็นชั่วโมง ๆ ให้ได้ที่เป็น Chyme    พร้อมส่งต่อให้ย่อยและดูดซึมในลำไส้เล็ก   พระคำที่เราได้รับ  ควรได้รับการซักฟอก ทบทวน สับให้เละ ย่อยสลาย  ในกระเพาะฝ่ายวิญญาณ  ให้ใช้เป็นภาคปฏิบัติได้  ดาวิดกล่าวว่า  “ความยินดีของเราอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า  เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืน” (สดุดี 1:2)  บ่อยครั้งเราฟังเทศน์  อ่านพระคัมภีร์  ได้มาแต่มุขตลกของนักเทศน์  แต่ไม่ได้บทเรียนอะไร  มาใช้ในชีวิต วัวควายยังมีการเคี้ยวเอื้อง  คือขยอกอาหารจากกระเพาะขึ้นมาเคี้ยวใหม่  คนเรามีกระเพาะที่คลุกเคล้า บดจนเละในกระเพาะนานหลายชั่วโมง  ผู้เชื่อต้องมีการใคร่ครวญพระคำ  ตีโจทย์ให้แตกกระจุย  ถอดออกมาเป็นภาคปฏิบัติให้ได้

 

3. ทยอยลงสู่ลำไส้เล็ก

         พระเจ้าสร้างให้ อาหารจากกระเพาะค่อยๆทยอยลงสู่ลำไส้   เรียกว่า กระเพาะเป็นผู้จัดให้  ธรรมดาเวลาเรากินอาหารมื้อปกติ เราเก็บอาหารไว้ในกระเพาะได้ประมาณ ครึ่งลิตร ถึง 1 ลิตร  แต่กินจนอิ่มแปล้ นี่ กระเพาะมันจุได้ถึง 2 ลิตรเชียวนา  ลางคนเหมือนชูชกกินจนพุงปลิ้น  แต่จะกินมากน้อยยังไง  กระเพาะจะช่วยทยอย อาหารที่เป็น Chyme ลงไปสู่ลำไส้  มันช่วยจัดระเบียบให้ลำไส้  เห็นไหม น่ารักจัง  คนเราใคร่ครวญพระคำนะ ทำได้ทีละข้อ สองข้อ  ผมเคยไปสัมมนาต่างประเทศ  สัมมนา 10 วัน  วิทยากรผลัดกันขึ้นมาสอนชั่วโมงต่อชั่วโมง  บวกกับเวิร์คชอปตอนบ่าย และฟื้นฟูอีก  ในประชุมก็เก็บความคิดมาได้บ้าง  แต่บ่อยครั้งผมได้รับมากกว่า  เวลาเอาซีดี หรือเทป มานั่งฟังใหม่ในรถ  ค่อยๆฟังค่อยๆพินิจพิเคราะห์  ใคร่ครวญ และเวลาคิดใหม่  ก็ค่อยๆ ถึง “บางอ้อ” ทีละข้อสองข้อ  นักเรียนที่ฟังครูสอนแล้วไม่อ่านหนังสือประจำวัน  กองไว้เป็นดินพอกหางหมู กองพะเนินเทินทึก แล้วค่อยมาดูหนังสือ 3 วันก่อนสอบ ท่านจะเกิดอาการ “ย่อยไม่ทัน” 

 

4.   โรคกระเพาะ( Peptic Ulcer)

 

โรคกระเพาะ ก็คือ การเป็นแผลในกระเพาะอาหาร  เกิดจาก การหลั่งน้ำย่อยออกมาในกระเพาะ โดยไม่มีอาหารให้ย่อย  น้ำย่อยที่มีกรดเกลือก็จะกัดกระเพาะเป็นแผล  ปกติจะหลังออกมาเมื่อมีอาหารตกถึงท้อง  แต่มันอาจหลั่งออกมาได้โดยไม่มีอาหาร  เพราะ  ความเครียด ความวิตกกังวล  และการกินอาหารไม่ตรงเวลา ฝ่ายวิญญาณก็เหมือนกัน  ยามจิตใจปั่นป่วน  ปัญหาประดังเข้ามา เป็นเวลาที่เราต้องวิ่งเข้าหาพระคำ  ผู้เชื่อหลายคนยิ่งทุกข์ยิ่งขาดโบสถ์  ยิ่งวิ่งเข้าหาทีวี บันเทิง คาราโอเกะ ไปปิคนิกวันอาทิตย์  ทั้งๆที่วิญญาณโหยหาพระคำ   ธรรมดาคนเราควรเข้าเฝ้าประจำวัน  ควรไปโบสถ์ฟังพระวจนะวันอาทิตย์   แต่ถึงมื้ออาหารฝ่ายวิญญาณ  เราก็ไม่ไป  นอนอยู่ที่บ้าน  เราไปทัศนาจร  พระเยซูตรัสว่า  “มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้  แต่บำรุงด้วยอาหารทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4)

 

        เคยสังเกตไหมเวลาท่านขาดโบสถ์วันอาทิตย์  วิญญาณภายในของท่านมันงุ่นง่าน ใจมันหวามหวิว  อารมณ์ท่านหงุดหงิด ท่านห้ามมันไม่ได้หรอก  กรดเกลือฝ่ายวิญญาณมันหลั่งออกมา เพราะมันคุ้นเคย  กลิ่นอาหารมันโชย  มันถึงมื้ออาหารแล้ว  แต่ท่านไม่ป้อนอะไรให้จิตวิญญาณของท่าน  ระวังเป็นแผลในกระเพาะฝ่ายวิญญาณเน้อ  ผมเคยเป็นโรคกระเพาะ คนเป็นโรคกระเพาะแสบท้อง  เพราะกรดหลั่งมาโดนแผล  วิธีแก้ก็ต้องเริ่มใหม่  กินอาหารอ่อน และกินให้เป็นเวลา

 

5.  ลำไส้เล็ก (The Small Intestine)

           Chyme คืออาหารเละที่คลุกเคล้าอย่างดีจากกระเพาะ จะเดินทางผ่านหูรูดเข้าสู่ลำไส้เล็ก อาหารที่เรากินส่วนมากมีการย่อยและดูดซึมที่นี่    คนเรามีลำไส้เล็กกว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ขดไปขดมา คลี่ออกมาแล้ววัดได้ประมาณ 6 เมตร แบ่งย่อยออกเป็น 3 ตอน คือ (1) ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum) ยาวประมาณ 1 ฟุต (2) ลำไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum) ยาวประมาณ 4-5 เมตร (3) ลำไส้เล็กส่วนปลาย (Ilium) ยาวประมาณ 1.5 เมตร  ซึ่งไปต่อกับลำไส้ใหญ่   การเดินทางของอาหารผ่านลำไส้เล็กนี่นับว่าค่อนข้างเชื่องช้า ใช้เวลานานประมาณ 3 ถึง 5 ชั่วโมง   น้ำย่อยจากตับอ่อน ซึ่งมีความเป็นด่าง  จะช่วยฆ่าความเป็นกรดของ Chyme ที่มาจากกระเพาะให้กลายเป็นกลาง  คือหมดความแสบทันทีที่มาถึงลำไส้เล็ก  พร้อมให้ย่อยและดูดซึมต่อไป 

 

6.  อาหารที่คนเรากิน มี  3 หมวดหลักๆ คือ

 

         (1) คาโบไฮเดรท หรืออาหารพวกแป้งทั้งหลาย  เช่น  ข้าว  ข้าวโพด มันฝรั่ง

         (2) ไขมัน  เช่น  น้ำมันพืช  น้ำมันสัตว์  และ

         (3) โปรตีน  เช่น เนื้อสัตว์  ไข่ไก่  ถั่วเหลือง 

 

         ทั้งหมดนี้อยู่ในสภาพ Chyme   ผมเล่าให้ฟัง หยาบๆหน่อย  เพราะรายละเอียดตรงนี้มีเยอะ  ตับอ่อนจะให้น้ำย่อย  มาย่อย แป้ง ให้เป็นน้ำตาล ไม่ใช่ เป็นแค่น้ำตาลทราย แต่เป็นน้ำตาลตัวเล็กที่สุด คือ น้ำตาลกลูโคส (Glucose)  ตับอ่อนยังให้น้ำย่อย มาช่วยย่อยโปรตีน  เป็นกรด อมิโน ( Amono  Acid )  ส่วนไขมันที่เรากิน จะถูกย่อยโดยน้ำดี (สีเขียว) ที่ผลิตมาจากตับ  ให้ได้ตัวเล็กที่สุด คือ กรดไขมัน ( Fatty Acid )

 

 7.   การดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

 

             ทำไมจึงย่อยให้เป็นอาหารขนาดเล็กๆทั้งหมด ก็เพราะจะได้ดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กได้ยังไงล่ะ   ผนังลำไส้เล็กต่างจากผนังกระเพาะ ผนังกระเพาะอะไรก็ดูดซึมยาก  แต่ผนังลำไส้เล็กมีเพื่อให้ดูดซึมง่าย  ลักษณะผนังลำไส้เล็กจะมีลักษณะคล้ายนิ้วขนาดจิ๋วนับล้านๆนิ้ว  เรียกว่า  “วิลไล”  เพื่อจะให้มีเนื้อที่ผิวดูดซึมอาหารได้ง่าย   แล้วมันก็จะผ่านผนัง “วิลไล”  เข้าไปยังเส้นเลือดฝอย  เข้าสู่ระบบเส้นเลือดภายในของร่างกาย  

อาหารขนาดจิ๋ว คือกลูโคส,กรด อมิโน,กรดไขมัน จะถูกพาไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย 

 

 

8.  พลังในเซลล์

          ร่างกายคนเราต้องการอาหาร   บัดนี้อาหารขนาดเล็กเดินทางมาถึงเซลล์แล้ว  ปฏิกิริยาทางเคมีจะเกิดขึ้นที่นี่  ที่เซลล์ 

 

 กลูโคส  +  ออกซิเจน        คาร์บอนไดออกไซด์  +  น้ำ  + พลังงาน

 

     

          เราได้ออกซีเจนจากการหายใจ จากปอด  เม็ดเลือดแดงนำเขาไปส่งที่เซลล์ ให้ทำปฏิกิริยาเคมีนี้  และได้คาบอนไดออกไซด์ แล้วเม็ดเลือดแดงก็นำไปยังหัวใจ คายออกที่ปอด พร้อมกับหายใจออกซีเจนเข้ามาใหม่

 

            พระวจนะคำจะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อ  มันเข้ามาเป็นเนื้อและเลือดของเรา  ความรู้พระคัมภีร์ไม่มีประโยชน์ใดๆ หากเราไม่ปฏิบัติ  หากเราไม่ได้นำมาเป็นส่วนในชีวิตของเรา  ก็ไร้ความหมายใดๆ  เราเรียนเรื่อง “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน”  เข้าใจดิบดี  แต่เอาเข้าจริง  เราก็เลือกตัวเองก่อน   เราเรียนเรื่อง “ทางแคบ สู่ชีวิตนิรันดร์  ทางกว้างไปสู่ความพินาศ”  พอเอาเข้าจริง  เราก็เลือก ไอ้ที่พวกมากลากไป  คือทำตามสังคม  พระคำเกิดผล  มีพลังในชีวิตจริงๆ ต่อเมื่อเราปฏิบัติ  พระเยซูตรัสว่า  “อาหารที่เราจะให้เพื่อเห็นแก่ชีวิตของโลกนั้น  คือเลือดเนื้อของเรา..ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อ  และไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์  ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน” (ยอห์น 6:51,54)  พระเยซูตรัสให้เราทราบว่า เมื่อเรารับถ้อยคำของพระองค์  เชื่อถือศรัทธาในพระองค์  รับเอามาเป็นชีวิตของผู้เชื่อ  คนนั้นก็จะมีชีวิต รับความรอด มีพลัง

 

9.  ลำไส้ใหญ่

            ลำไส้เป็นส่วนล่างสุดของระบบย่อยอาหาร  ต่อจากลำไส้เล็กส่วนปลาย  เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 6 นิ้ว ยาวประมาณ เมตรครึ่ง  การเคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่เป็นไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกัน  หน้าที่หลักก็เพื่อดูดซับน้ำออกมา  และขับเอากากอาหารที่ไม่ย่อยออกมา  ผนังลำไส้ใหญ่เก่งในการดูดน้ำกลับคืนไปสู่เลือด เพื่อให้น้ำในร่างกายอยู่ในความสมดุล  ส่วนกากอาหารนั้น  แบคทีเรียที่ไม่เป็นพิษภัย จำนวนมากอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่  ช่วยหมักให้มันอยู่ในสภาพพร้อมถ่ายออกมาทางทวารหนัก  ฝ่ายวิญญาณ  เราต้องถ่ายกากออก  สิ่งที่ไร้ประโยชน์  

เป็นเปลือก เป็นกาก เป็นเดนในคำสอน ทิ้งมันไปเถอะ คัดมันออก ถ่ายทิ้งมันไป  บางทีเราทำตรงกันข้าม  คือเราเก็บกากไว้  ของดีเราทิ้งไป  ผมเคยถามพี่น้องที่ฟังเทศน์ในการประชุมฟื้นฟูหลายครั้ง  ว่านักเทศน์พูดเรื่องอะไร  แกจำอะไรไม่ได้ เว้นแต่ตัวอย่างตลก ๆ ที่นักเทศน์ยกมา  ส่วนเนื้อเรื่องหลักจำไม่ได้  ได้มาแต่กาก  ต่อไปนี้เราต้องเอาเนื้อเอาชีวิตให้ได้  ทิ้งกากไปเสีย  

 














Visitor 359

 อ่านบทความย้อนหลัง