ความเชื่อต้องกล้าหาญ
คำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2007
ศจ.สมเกียรติ กิตติพงศ์

ฮีบรู 11:6
แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคน ที่แสวงหาพระองค์
พระคัมภีร์ข้อนี้ติดอยู่ในใจผมมาหลายเดือน พระเจ้าชอบพระทัยคนมีความเชื่อ พระเจ้าพอพระทัยคนกล้าหาญ พระเจ้าไม่ชอบคนขี้ขลาด โดยเฉพาะการกล้าหาญเมื่อพระเจ้าตรัสแล้ว กล้าเสี่ยงภัยเพื่อพระเจ้า

ฮีบรูบทที่ 12: 1-2 ผมเทศนาเมื่อวันอาทิตย์สิ้นปี พระเจ้าให้เราเห็นพยานรอบข้าง เมื่อเรากำลังวิ่งไปสู่หลักชัย คือตัวอย่างพยานของผู้เชื่อในพระคัมภีร์ วันนี้ผมจะขอยกตัวอย่างพยานเหล่านี้

โนอาห์ กล้าต่อนาวา ต่อเรือตามพระดำรัส บนภูเขาขณะที่เขายังไม่เห็นฝนสักเม็ด
ฮีบรู 11:7 เพราะโนอาห์มีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเตือนให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านจึงยำเกรง และต่อเรือใหญ่ เพื่อช่วยครอบครัวของตนให้รอดพ้นจากความตาย และด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงได้ติเตียนชาวโลก และได้เป็นทายาทแห่งความชอบธรรม ซึ่งบังเกิดมาจากความเชื่อ แม้เราแลไม่เห็นอะไร แต่เมื่อพระเจ้าตรัสเราต้องเชื่อฟัง โนอาห์เป็นที่โปรดปรานขณะชาวโลกทำความผิดบาปออกนอกทางสุดกู่ และพระเจ้าตัดสินพระทัยล้างโลก ให้เขาต่อนาวาลำใหญ่
 

ประกาศให้ผู้คนเข้ามาเชื่อแต่พวกเขาไม่ฟัง วันที่น้ำท่วมโลก มีคนรอดอยู่แปดคนเท่านั้นคือครอบครัวของโนอาห์เอง

อับราฮัม กล้าทิ้งสังคมสบาย
ออกไปสร้างชาติใหม่
ฮีบรู 11:8
เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านออกเดินทางไปยังที่ซึ่งท่านจะรับเป็นมรดก ท่านได้เชื่อฟัง และได้ออกเดินทางออกไป โดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน
แต่เดิมท่านอยู่ที่เมืองเออร์ ริมฝั่งน้ำยูเฟรติส ไทกริส เมืองนี้ชาวเมืองไหว้พระจันทร์ มีการฆ่าคนบวงสรวงพระของเขา แม้แต่เทราห์ก็ยังมีรูปเคารพ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้อับราฮัมออกจากเมืองนี้
ออกจากสังคมที่ท่านคุ้นเคย จากสังคมที่ท่านสบาย ไปที่ไหน แล้วแต่พระเจ้า อับราฮัมเชื่อพระเจ้าท่านกล้าออกจากสังคมของท่าน ท่านออกไปพร้อมกับภรรยา และข้าทาสของท่าน มีโลทหลานชายคนหนึ่งตามท่านไปด้วย
ความเชื่อเราต้องกล้า ไม่ใช่เพราะเรารู้ทุกอย่างไปหมด แต่เพราะเรารู้จักพระเจ้าต่างหาก

นางซาราห์ ไม่แคร์สังขาร
ฮีบรู 11:11
๑๑. เพราะนางซาราห์มีความเชื่อ นางจึงได้รับพลังตั้งครรภ์เมื่อชรามากแล้ว เพราะนางถือว่า พระองค์ผู้ได้ทรงประทานพระสัญญานั้น ทรงเป็นผู้สัตย์ซื่อ
พระเจ้าทรงสัญญาว่าท่านจะมีลูกหลานมากมายเหมือนดาวบนท้องฟ้า เหมือนเม็ดทรายในทะเล
แต่ตอนที่ท่านรับพระสัญญาในปาเลสไตน์นั้น อับราฮัมมีอายุ 90 ปี และซาราห์ก็มีอายุ 80 ปีแล้ว หนึ่งปีก่อนเธอคลอดบุตรพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาบอก ว่าปีหน้านางจะคลอดบุตรชาย และให้ตั้งชื่อว่าอิสอัค แปลว่าหัวเราะ เพราะตอนนางได้ยินทูตสวรรค์บอกนางนางหัวเราะ ครับ นางได้หัวเราะด้วยความยินดีจริงๆ ตอนนางคลอดอิสอัค นางมีอายุถึง 90 ปี เรื่องนี้คงจะหนุนใจ
คนชราน่ะครับ อายุไม่ใช่อุปสรรคมิใช่หรือ ถ้าเรามีความเชื่อ เมื่อเรามีความเชื่อเรามีพลัง

มิรียม เหยียบจมูกราชสีห์
ฮีบรู 11:23
เพราะความเชื่อ ฉะนั้น เมื่อโมเสสเกิดมา บิดามารดาจึงได้ซ่อนท่านไว้ถึงสามเดือน เพราะเห็นว่าท่านเป็นเด็กรูปงาม และบิดามารดาของท่านไม่ได้กลัวคำสั่งของกษัตริย์เลย
เรื่องนี้ ความจริง เป็นความเชื่อของพ่อแม่ของโมสสและมิเรียมพี่สาว ตั้งแต่ครอบครัวของยาโคบ
ไปอยู่ที่อียิปต์ เพราะฟาโรห์ในสมัยนั้นทรงโปรดโยเซฟ แต่งตั้งท่านให้เป็นนายกรัฐมนตรีของอียิปต์ คนยิวก็ทวีขึ้นอย่างมาก ประมาณ 400 ปี ต่อมายิวมีไพร่พลมากถึงร่วม 2 ล้านคน จนฟาโรห์ยุคต่อๆมาบีบบังคบชาวยิว ใช้เขาเป็นทาส และต้องการตอนคนยิว ฟาโรห์ออกคำสั่งให้ประหารบุตรชายชาวยิวที่เกิดมาทุกคน พ่อแม่ของโมเสสได้ลูกชาย แทนที่จะกลัว ท่านมีความเชื่อ ซ่อนลูกของตนเอง และที่สุดตัดสินใจเอาลูกใส่ตะกร้า เอาชันยาลอยไปตามแม่น้ำไน เพื่อฟังว่าธิดาของฟาโรห์มาสรงน้ำและเห็นจะเกิดความรักเมตตา และชุบเลี้ยงเขา ความเชื่อเขาได้ผลดี
ธิดาฟาโรห์เมื่อเห็นทารกรูปงามก็โปรดปราน ปรารถนาจะชุบเลี้ยง ได้จังหวะมิเรียมติดตามเหตุการณ์มาตลอด บอกให้ทราบว่าถ้าต้องการแม่นมชาวฮีบรูก็จะจัดหาให้ เธอก็เห็นชอบเสียด้วย
คนขี้ขลาดทำอย่างนี้ไม่ได้ คนที่ทำเช่นนี้กล้าเสียงภัย กล้าได้อย่างไร เพราะมีพระเจ้าไงล่ะ

คนอิสราเอลก้าวเดินเมื่อพระเจ้าเปิดทาง
ฮีบรู 11:29
เพราะความเชื่อ พวกอิสราเอลจึงเดินข้ามทะเลแดง เหมือนกับว่าเดินบนดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์ได้ลองเดินข้ามดูบ้างก็จมน้ำตายหมด
โมเสสเติบโตขึ้น หนีไปอยู่มีเดียนเสีย 40 ปี ภายหลังพระเจ้าใช้ท่านให้นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ซึ่งกษัตริย์ฟาโรห์ไม่ยอม พระเจ้าต้องส่งภัยพิบัติ เป็นการอัศจรรย์เรื่องต่อเรื่อง ตั้ง 10 เรื่อง เรื่องล่าสุดคือการประหารบุตรหัวปีชาวอียิปต์ พอกษัตริย์ฟาโรห์ยอม โมเสสก็นำคนยิวออกมาจากอียิปต์ เพื่อไปคานาอัน ทั้งหมดมาติดอับอยู่ที่ทะเลแดง ด้านหนึ่งเป็นภูเขาอีกด้านก็ภูเขา ด้านหลัง
ฟาโรห์เปลี่ยนใจ ยกกองทัพพร้อมบดขยี้คนยิว ยิวกำลังจะตายหมู่ในไม่ช้า แต่พระเจ้าทรงทำการอิทธิฤทธิ์ โมเสสยกไม้เท้าขึ้นพระเจ้าทรงทำให้ทะเลแดงแยกออก คนยิวกล้าเดินผ่านทะเลแดง พอทหารอียิปต์ติดตามลงไปบ้างพระเจ้าก็ให้น้ำทะเลกลับมาเหมือนเดิม คนอียิปต์ที่ก้าวลงไปตายหมด เมื่อพระเจ้าเปิดทางให้ ความเชื่อกล้าก้าวไปในทางเล็กๆแคบๆนั้น

แซมสัน มั่นใจในพระลักษณะของพระเจ้า
ฮีบรู 11:32
และข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรต่อไปอีกเล่า เพราะไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึง กิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด
แซมสัน เป็นผู้วินิจฉัยในสมัยที่คนฟะลิศเตียรุกรานข่มเหงชาวยิว พระเจ้าใช้แซมสันโดยความสามารถพิเศษ คือมีพลังฝ่ายร่างกาย แซมสันเคยต่อสู้สังหารคนฟะลิศเตียเป็นร้อย ด้วยขากรรไกรลาอันเดียว แต่แซมสันหลงรักนางเดไลลาห์หญิงชาวฟะลิศเตีย แซมสันหลงไหลและภายหลังได้บอกความลับขุมพลังของแซมสัน แซมสันเป็นนาศีร์ ไม่ตัดผมมาตั้งแต่เด็ก นางตัดผมเขา แซมสันหมดเรี่ยวแรง ทำให้พวกฟะลิศเตียจับเขาได้ และได้ใช้ไฟจี้ตาทำให้แซมสันตาบอด
ในยามที่แซมสันหมดแรง ตาบอด เขาสำนึก ตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีพระเมตตา ถ้าทูลขอพระเจ้าพระองค์ทรงอภัย แซมสันทูลพระเจ้าว่า ขออีกครั้ง อีกสักครั้ง ให้เขามีเรี่ยวแรง ในสนามกีฬาวันที่พวกฟะลิศเตียบูชาเทพเจ้าพระดาโกนของตนที่เมืองกาซา เจ้าใหญ่นายโตและชาวฟิลิศเตียชุมนุมกันที่นั้นพร้อมกันหมด แซมสันทูลพระเจ้าว่าขอพระเจ้ายกโทษตน และขอพลังจากพระเจ้าอีกครั้ง เขาขอให้เด็กคนหนึ่งจูงเขาไปที่เสาหลักของสนามกีฬาแห่งนั้น พระเจ้าโปรด เขาใช้พลังทำให้เสาหลักของอาคารหักสบั้นลง ทั้งหมดพังครืนลงมา วันนั้นแซมสันสังหารชาวฟะลิศเตียมากว่าทั้งชีวิตทีเขาเคยทำมา ความเชื่อของเขาเขามั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงมีพระเมตตาต่อเขา

ดาวิด ไม่กลัวยักษ์
ฮีบรู 11:32
และข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรต่อไปอีกเล่า เพราะไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึง กิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด
ขอพูดเรื่องดาวิดอีกคน ตอนนั้นเขาเป็นเด็กอายุแค่ 16 ปี พวกฟะลิศเตียยกกองทัพมาท้ายิวรบ ขอให้ส่งคนมาสู้กันตัวต่อตัว ใครแพ้ก็ต้องยอมเป็นเมืองขึ้น ทั้งนี้เพราะกองทัพฟะลิศเตียมีโกลิอัท ชาวกัท ชายร่างยักษ์สูงหกศอกคืบ ชำนาญการรบ กษัตริย์ซาอูลไม่รู้จะส่งใครออกไป เพราะคนยิวกลัวลานกันหมด ซาอูลถึงขนาดพร้อมยกธิดาของตนให้เป็นรางวัลคนที่จะออกไปรบ แต่ก็ไม่มีใคร พอดาวิด ซึ่งตอนนั้นเป็นเด็กที่ไปดูแลแกะให้พ่อ ไปส่งเสบียงให้พี่ชายในสนามรบทราบเรื่อง ได้ยินโกลิอัทท้ารบ ก็ไม่พอใจและขันอาสาซาอูลออกไปรบ ดาวิดมีความเชื่อในพระเจ้า สู้กับยักษ์เพราะวางใจพระเจ้า ใช้สลิงเหวี่ยงไปถูกหน้าผากโกลิอัท ล้มฟุบลงแล้วดาวิกก็วิ่งไปใช้ดาบของโกลิอัทนั่นเองตัดศีรษะเขา ความเชื่อไม่ขี้ขลาดตาขาว กล้าหาญไม่กลัวตายครับ

นี่เป็นตัวอย่างของพยานรอบตัวเรา ทำให้เราก้าวหน้ามุ่งไปในปี 2007 เอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ เราต้องเชื่อพระเจ้า โดย
1.กล้าเสี่ยง
2.ไม่มองดูสถานการณ์ภายนอก แม้ความทุกข์ยากแต่
3.วางใจพระเจ้า และ
4.เชื่อในพระสัญญา

สวัสดีปีใหม่ครับ

2022 high quality fake watches UK are in stock. You can possess best Swiss replica watches with less money.

With Swiss reliable movements, best wholesale replica watches UK for men and women are on hot sale.

Click เพื่อฟังคำเทศนาที่นี่


Visitor 151

 อ่านบทความย้อนหลัง